วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลสำรวจเผย ชาวอินเดียมีมือถือใช้มากกว่ามีส้วมใช้

สำนักข่าวต่างประเทศเผยผลสำรวจสำมะโนประชากรสุดอึ้ง เมื่อประชากรในอินเดียที่มีกว่า 1,200 คน มีมือถือใช้มากกว่า มีส้วมเป็นสัดส่วนภายในบ้าน

โดย ผลสำรวจระบุว่า คนอินเดียมีส้วมที่บ้านเพียง 46.9% ขณะที่อีก 49.8% ใช้บริการส้วมลมโชยในที่สาธารณะ และอีก 3.2% ใช้ส้วมสาธารณะในการถ่ายทุกข์

ขณะที่ คนอินเดียกว่า 63.2% มีโทรศัพท์ใช้ที่บ้าน และ 53.2% มีโทรศัพท์มือถือใช้ ผลการสำรวจพบด้วยว่า คนอินเดียมีทีวีดู 47.2% แต่มีวิทยุฟังเพียง 19.9% และเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพียแค่ 3.1%

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ระบุว่า ผลสำรวจดังกล่าวเกิดจากความแตกต่างของระบบสังคมในอินเดีย ขณะที่คนนับล้านสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างง่ายดาย แต่คนจนอีกจำนวนมหาศาล กลับเข้าไม่ถึงแม้แต่บริการสาธารณสุขพื้นฐาน

อันตรายจากหมากฝรั่ง

หมากฝรั่ง คือ ก้อนสารปรุงแต่งอาหารอย่างหนึ่ง มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น กัมเบส ( เป็นส่วนผสมหลักในหมากฝรั่ง คล้ายกาว ทำจากยางชิคเคิลเล็กน้อย และพลาสติกที่มาจากน้ำมันปิโตเลียม ) ทาร์ สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ สารอิมัลติไฟเออร์ ( เป็นสารที่ทำให้ส่วนประกอบต่างๆในหมากฝรั่งเข้ากันได้ดี ) ปกติส่วนประกอบหลักในหมากฝรั่ง ต้องเป็นยางชิคเคิล ที่ทำจากยางของต้นละมุด แต่ในปัจจุบันจะใช้ กัมเบสแทน เพราะ พื้นที่ป่าเขตร้อนน้อยลง ทำให้ยางชิคเคิลมีราคาเเพง
หมากฝรั่งมี 2 ชนิด คือ ชิววิ่งกัม ( หมากฝรั่งที่มีกลิ่น ) และ บับเบิ้ลกัม ( หมากฝรั่งที่เป่าลูกโป่งได้ )

อันตรายจากการใช้ยา

อันตรายจากการใช้ยา

1. การดื้อยาและการต้านยา (Drug Resistance and Drug Tolerance)
การดื้อยา เป็นภาวะที่เชื้อโรคต่างๆที่เคยถูกทำลายด้วยยาชนิดหนึ่งๆ สามารถปรับตัวจนกระทั่งยานั้นไม่สามารถทำลาย ได้อีกต่อไป เชื้อโรคที่ดื้อยาแล้วจะสามารถถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ไปยังเชื้อโรครุ่นต่อไป ทำให้การใช้ยาชนิดเดิมไม่สามารถ ใช้ทำลายหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาให้ครบตามขนาดของยาที่แพทย์กำหนดและไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ตัวอย่าง
ยาที่มักเกิดการดื้อยาได้แก่ ยาต่อต้านเชื้อ (Antibacterals) เช่น ยาซัลฟา เพนนิซิลิน เตตราไซคลิน สเตร็บโตไมซิน เป็นต้น
การต้านยา มีความหมายคล้ายการดื้อยา แต่การต้านยามีผลมาจากร่างกายของผู้ใช้ยา ไม่ใช่เป็นการปรับตัวของเชื้อโรค
ร่างกายจะสร้างเอ็นไซม์หรือใช้ระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
ก่อให้เกิดอาการติดยา เช่น บาร์บิทูเรท มอร์ฟีน เป็นต้น

2. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence)
การใช้ยาในทางที่ผิด หมายถึง การนำยามาใช้ด้วยตนเอง และนำยามาใช้โดยมิใช่เป็นการรักษาโรค เป็นการใช้ยาไม่
ถูกต้อง และไม่ยอมรับในทางยา
การติดยา มักเป็นผลจากการนำยามาใช้ในทางที่ผิด เช่น แอมเฟตามีน เพื่อกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกแจ่มใส ไม่ง่วง
หรือเพื่อลดความอ้วน เมื่อใช้ติดต่อกันนานๆจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ให้มีความต้องการยาอยู่เสมอ และปริมาณ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าขาดยาอาจทำให้ถึงตายได้ เช่นเมื่อติดยาแอเฟตามีน จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และเสียชีวิต
เพราะอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด

3. การแพ้ยา (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ร่างกาย
จะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านยาชนิดนั้น เมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีก ตัวยาจะไปทำปฏิกิริยากับภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิด
การแพ้ยา โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ช็อก หอบ หืด คัดจมูก ไอจาม ลมพิษ โลหิตจาง หรืออาจเสียชีวิตได้
จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์

4. ผลค้างเคียง (Side Effect) เป็นอาการปกติทางเภสัชวิทยาที่เกิดควบคู่กับผลทางรักษาทางยา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน และ
มีความรุนแรงต่างกัน เช่น การใช้แอนทีฮีสตามีน มีผลในการลดน้ำมูก ลดอาการแพ้ แต่อาจมีผลค้างเคียงคือ ทำให้
ง่วงนอน ซึมเซา ควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร และการขับรถ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย

5. พิษของยา (Toxic Effect) เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นพิษเป็นผลของยาที่ใช้ ถ้ายังเพิ่ม
ขนาดใช้ยา อาการพิษก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอวัยวะนั้น ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใช้ยาในระยะเวลานานติดต่อกัน แม้
จะใช้ในขนาดปกติ ก็เกิดเป็นพิษได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถ้าใช้นาน ๆ
หรือขนาดสูง ๆ โรคโลหิตจางและโรคติดเชื้อได้ง่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบไหล
เวียนของโลหิต นอกจากนี้ยาบางชนิดซึ่งมารดาใช้ขณะตั้งครรภ์ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์ขั้นรุนแรงได้

สิงคโปร์ ครองแชมป์ ทำโลกร้อนที่สุดในเอเชีย

รายงาน ของกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ระบุว่า สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีอัตราต่อหัวของประชาชากรในปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศของโลก มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา

โดยปัจจัยหลักอยู่ที่ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมก่อสร้าง สอดคล้องกับตัวเลขข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ ระบุว่า ในปี 2554 สิงคโปร์ซึ่งตัวเลขจีดีพีต่อหัวประชากร มากกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล 43,454 กิโลตัน

ทั้งนี้ นางโยลันดา กากาบัดเซ ประธานWWF กล่าวว่า ชาวสิงคโปร์บริโภคอาหารและพลังงานเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างประชากรกับขนาดของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชาวโลกไม่ควรทำตาม

อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีพลังงานทางเลือก จึงต้องใช้พลังงานจำนวนมากดังกล่าว

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Gioachino Antonio

Gioachino Antonio Rossini (Italian pronunciation:(Giovacchino Antonio Rossini in the baptismal certificate) (29 February 1792 – 13 November 1868) was an Italian composer who wrote 39 operas as well as sacred music, chamber music, songs, and some instrumental and piano pieces. His best-known operas include the Italian comedies Il barbiere di Siviglia (The Barber of Seville) and La Cenerentola and the French-language epics Moïse et Pharaon and Guillaume Tell (William Tell). A tendency for inspired, song-like melodies is evident throughout his scores, which led to the nickname "The Italian Mozart." Until his retirement in 1829, Rossini had been the most popular opera composer in history.

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประเทศที่มีหนี้สูง

เว็บไซต์ 24/7วอลล์สตรีท จัดอันดับท็อป 10ประเทศ ที่หนี้มากที่สุดในโลก โดยใช้ข้อมูลในปี 2554ส่วนใหญ่ โดยหลายประเทศมีหนี้สูงมากเมื่อเทียบกับจีดีพี ดังนี้

อันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหนี้ คิดเป็นร้อยละของจีดีพี อยู่ที่ 233.1%สูงที่สุดในหมู่ชาติพัฒนาแล้ว แม้ว่าปริมาณหนี้จะมากแต่ญี่ปุ่นสามารถบริหารจัดการให้รอดพ้นจากหายนะทางเศรษฐกิจ ไม่ซ้ำรอยกรีซและโปรตุเกส เนื่องจากมีอัตราว่างงานในระดับต่ำเพียง 4.6%และเจ้าหนี้พันธบัตรรัฐบาล 95%เป็นชาวญี่ปุ่นเอง ไม่ใช่ต่างชาติขณะที่หนี้ภาครัฐอยู่ที่ 13.7ล้านล้านดอลลาร์ ตัวเลขจีดีพีต่อคนต่อปี อยู่ที่ 33.994ดอลลาร์ ส่วนมูลค่าจีดีพี (nominal GDP) อยู่ที่ 5.88ล้านล้านดอลลาร์

อันดับ 2 ประเทศกรีซ ที่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ล่าสุดเอเธนส์ มีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 168.2%เพิ่มจากเมื่อปี 2553ที่อยู่ที่ระดับ 143%หนี้ของรัฐบาลเอเธนส์อยู่ที่ 4.89แสนล้านดอลลาร์ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 28,154ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 3.03แสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงานสูงถึง 19.2%

อันดับ 3 ประเทศอิตาลี มีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 120.5%โดยปัญหาหนี้ มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของอิตาลี ซึ่งจีดีพีเติบโตเพียง 1.3%ในปี 2553จนอิตาลีต้องประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเมื่อปลายปีที่แล้วหนี้ของรัฐบาลอิตาลีอยู่ที่ 2.54ล้านล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 31,555ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.2ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงานที่ 8.9%

อันดับ 4 ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเคยมีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในอียู มีอัตราเติบโตของจีดีพีเฉลี่ย 10%และมีอัตราว่างงานต่ำสุดในหมู่ชาติอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจไอร์แลนด์ก็เริ่มหดตัว จนถึงปี 2553ไอร์แลนด์ขาดดุลงบประมาณ 32.4%ของจีดีพี และยอดหนี้พุ่งกว่า 500%นับตั้งแต่ปี 2544ล่าสุด ไอร์แลนด์ มีสัดส่วนหนี้ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 108.1%มีหนี้ภาครัฐ 2.25แสนล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปี 39,727ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.17แสนล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงาน 14.5%

อับดับ 5 ประเทศโปรตุเกส ซึ่งได้รับแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างหนักหน่วง เมื่อปี 2554โปรตุเกสขอรับเงินช่วยเหลือจากอียูและไอเอ็มเอฟไปแล้ว 1.04แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณและหนี้ที่เพิ่มขึ้นมากปัจจุบัน โปรตุเกส มีสัดส่วนหนี้ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 101.6%มีหนี้ภาครัฐ 2.57แสนล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 25,575ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 2.39แสนล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงานอยู่ที่ 13.6%

อันดับ 6 ประเทศเบลเยี่ยม ล่าสุดมีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 97.2%ทั้งนี้ ไอร์แลนด์เคยมีอัตราหนี้ต่อจีดีพีสูงถึง 135%เมื่อปี 2536และค่อยๆ ลดเหลือ 84%ในปี 2550แต่ภายใน 4ปีต่อมาก็กลับเพิ่มเป็น 95%เบลเยี่ยมมีหนี้ภาครัฐ 4.79แสนล้านดอลลาร์ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 37,448ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 5.14แสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 7.2%

อันดับ 7 ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะนี้มีสัดส่วนหนี้ 85.5%ของจีดีพี จากเมื่อปี 2544ที่อยู่ที่ 45.6%เนื่องจากทางการวอชิงตันใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2544อเมริกามีค่าใช้จ่าย 33.1%ของจีดีพี กระทั่งถึงปี 2553รายจ่ายเพิ่มเป็น 39.1%ของจีดีพีส่วนหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ นับถึงปี 2554อยู่ที่ 12.8ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 6.4ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2548ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 47,184ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 15.13ล้านล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงานอยู่ที่ 8.3%

อันดับ 8 ประเทศฝรั่งเศส เขตเศรษฐกิจอันดับ 3ของอียู ที่มีสัดส่วนหนี้คิดเป็นร้อยละของจีดีพีอยู่ที่ 85.4%มีหนี้ภาครัฐอยู่ที่ 2.26ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.76ล้านล้านดอลลาร์ สูสีกับอังกฤษ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 33,820ดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 9.9%

อันดับ 9 ประเทศเยอรมนี เขตเศรษฐกิจใหญ่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในอียู เยอรมันมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้แก่ยูโรโซนทั้งหมด รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือแก่กรีซในปี 2553แต่แม้จะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เยอรมันมีสัดส่วนหนี้ 81.8%ของจีดีพี สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศพัฒนาแล้ว เยอรมนี มีหนี้ภาครัฐ 2.79ล้านล้านดอลลาร์ มีจีดีพีต่อคนต่อปี 37,591ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 3.56ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 5.5%ถือเป็นระดับต่ำสุดในยุโรป

อันดับ 10 ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีสัดส่วนหนี้ 80.9%ของจีดีพี แม้จะค่อนข้างสูง แต่เศรษฐกิจอังกฤษยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับอังกฤษไม่ได้อยู่ในยูโรโซนที่ใช้เงินสกุลเดียวกัน ทำให้รัฐบาลและแบงก์ชาติมีอิสระที่จะดำเนินการใดๆ มากกว่าสำหรับหนี้ของรัฐบาลอังกฤษอยู่ที่ 1.99ล้านล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 35,860ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 2.46ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 8.4%

Dragon Dog

“Dragon Dog” ฮอทดอกที่แพงที่สุดในโลก

คนรวยชาวแคนนาดาเขามีวิธีต้อนรับปีมังกรแบบแปลกๆ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2012 ที่ผ่านมา ดอกี้ด็อก ฮอตดอกส์ (DougieDog Hot Dogs) ร้านฮอตด็อกชื่อดังในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ทำฮอตดอกที่เรียกได้ว่า แพงที่สุดในโลก เพื่อฉลองปีมังกร ด้วยเมนู Dragon Dog

ซึ่งเจ้า Dragon Dog นี้ ทำมากจากไส้กรอกยาว 1 ฟุต ที่แช่ในคอนยัคสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ราคาขวดละประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท นอกจากนั้นยังมีกุ้งล็อปเตอร์สดและเนื้อโกเบนำมาคลุกเคล้าด้วยน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลและน้ำมันมะกอก ราดด้วยซอส Picante ที่เป็นสูตรลับของร้าน

ใครที่อยากทานเมนู Dragon Dog นี้ ต้องโทรศัทพ์มาสั่งจองล่วงหน้าถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 3,098 บาท!!! ทำลายสถิติเก่าของร้าน Serendipity ที่นิวยอร์ค ที่มีราคา 69 เหรียญสหรัฐไปเลย