วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มะเขือเทศ


ลักษณะ : เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น
สรรพคุณทางยา :- มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้- มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย- รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น

Christmas



The history of Christmas dates back over 4000 years. Many of our Christmas traditions were celebrated centuries before the Christ child was born. The 12 days of Christmas, the bright fires, the yule log, the giving of gifts, carnivals(parades) with floats, carolers who sing while going from house to house, the holiday feasts, and the church processions can all be traced back to the early Mesopotamians.
Many of these traditions began with the Mesopotamian celebration of New Years. The Mesopotamians believed in many gods, and as their chief god – Marduk. Each year as winter arrived it was believed that Marduk would do battle with the monsters of chaos. To assist Marduk in his struggle the Mesopotamians held a festival for the New Year. This was Zagmuk, the New Year’s festival that lasted for 12 days.
The Mesopotamian king would return to the temple of Marduk and swear his faithfulness to the god. The traditions called for the king to die at the end of the year and to return with Marduk to battle at his side.
To spare their king, the Mesopotamians used the idea of a "mock" king. A criminal was chosen and dressed in royal clothes. He was given all the respect and privileges of a real king. At the end of the celebration the "mock" king was stripped of the royal clothes and slain, sparing the life of the real king.

The Persians and the Babylonians celebrated a similar festival called the Sacaea. Part of that celebration included the exchanging of places, the slaves would become the masters and the masters were to obey.
Early Europeans believed in evil spirits, witches, ghosts and trolls. As the Winter Solstice approached, with its long cold nights and short days, many people feared the sun would not return. Special rituals and celebrations were held to welcome back the sun.
In Scandinavia during the winter months the sun would disappear for many days. After thirty-five days scouts would be sent to the mountain tops to look for the return of the sun. When the first light was seen the scouts would return with the good news. A great festival would be held, called the Yuletide, and a special feast would be served around a fire burning with the Yule log. Great bonfires would also be lit to celebrate the return of the sun. In some areas people would tie apples to branches of trees to remind themselves that spring and summer would return.

The ancient Greeks held a festival similar to that of the Zagmuk/Sacaea festivals to assist their god Kronos who would battle the god Zeus and his Titans.
The Roman’s celebrated their god Saturn. Their festival was called Saturnalia which began the middle of December and ended January 1st. With cries of "Jo Saturnalia!" the celebration would include masquerades in the streets, big festive meals, visiting friends, and the exchange of good-luck gifts called Strenae (lucky fruits).
The Romans decked their halls with garlands of laurel and green trees lit with candles. Again the masters and slaves would exchange places
"Jo Saturnalia!" was a fun and festive time for the Romans, but the Christians though it an abomination to honor the pagan god. The early Christians wanted to keep the birthday of their Christ child a solemn and religious holiday, not one of cheer and merriment as was the pagan Saturnalia.

But as Christianity spread they were alarmed by the continuing celebration of pagan customs and Saturnalia among their converts. At first the Church forbid this kind of celebration. But it was to no avail. Eventually it was decided that the celebration would be tamed and made into a celebration fit for the Christian Son of God.
Some legends claim that the Christian "Christmas" celebration was invented to compete against the pagan celebrations of December. The 25th was not only sacred to the Romans but also the Persians whose religion Mithraism was one of Christianity’s main rivals at that time. The Church eventually was successful in taking the merriment, lights, and gifts from the Saturanilia festival and bringing them to the celebration of Christmas.
The exact day of the Christ child’s birth has never been pinpointed. Traditions say that it has been celebrated since the year 98 AD. In 137 AD the Bishop of Rome ordered the birthday of the Christ Child celebrated as a solemn feast. In 350 AD another Bishop of Rome, Julius I, choose December 25th as the observance of Christmas.

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โรคอ้วน



โรคอ้วน คือ อะไร ?ในที่นี้ หมายถึง ความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า อ้วน ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง มีเนื้อและไขมันมาก โต อวบ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่น่าปรารถนาของคนทั่วๆ ไปด้วยการรักษาหลากหลายวิธี ทั้งยาลดความอ้วน ที่กินมากจนประสาทหลอนกันไป อาหารเสริม อาหารคุมน้ำหนัก อาหารละลายไขมัน ธัญพืช สมุนไพรลดไขมัน ครีมนวดลดไขมัน จนกระทั่งก้าวไปถึงการแพทย์ ทั้งเครื่องสลายไขมัน ดูดไขมัน ตัดไขมัน หรือ กระทั่งสินค้าที่โฆษณาเกินจริง เช่น แหวนลดน้ำหนัก เข็มขัดลดน้ำหนัก ล้วนแต่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพื่อหวังผลทางการตลาด แต่การรักษาที่ได้ผลจริงแท้แน่นอนก็คือ กินพอดี ออกกำลังกายให้พอ จิตใจต้องเข้มแข็งในการต่อสู้ ไม่ต้องไปหายาเทวดาสั่งที่ไหนกินก็หายได้ ง่าย ถูก แต่ไม่ชอบ เสียเงินสบายใจกว่ากันเยอะเลย

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หน้ากาก





สิ่งสำคัญของ 'หน้ากาก' อยู่ตรงที่ 'ความหมาย' ของมัน หน้ากากบางประเภทแสดงถึงอำนาจ บ่งบอกถึงความลึกลับ แสดงให้คนเห็นแล้วเกิดอารมณ์ความรู้สึก ซึ่ง 'หน้ากาก' ถือเป็นเป็นสิ่งปกปิด 'โฉม' ที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งจุดนี้เองมันแสดงอำนาจลึกลับบางอย่างที่ชวนติดตามและขณะเดียวกันก็หวาดระแวง







ลอยกระทง



วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป


วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

TANGO


















แทงโก้มีถิ่นกำเนิดซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงและหาข้อยุติไม่ได้ระหว่างอุรุกวัยกับอาร์เจนตินา แต่จากมอนเตวิเดโอ ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองท่าสำคัญของอุรุกวัยริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ล่องเรือมาตามแม่น้ำปลาโต้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงบัวโนสไอเรส ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการถ่ายทอดวัฒนธรรมการเต้นแทงโก้จากมอนตวิเดโอมาสู่บัวโนสไอเรส หรือจากบัวโนสไอเรสไปยังมอนเตวิเดโอ หากแต่ต้องยอมรับว่าชาวอาร์เจนตินาทั้งนักแต่งเพลง นักดนตรี นักร้อง และนักเต้น ได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แทงโก้ออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในดินแดนแถบอเมริกาใต้และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก รวมทั้งยกระดับของแทงโก้จากความบันเทิงของชนชั้นล่างขึ้นไปสู่การเป็นงานศิลปะของชนชั้นสูง
ว่ากันว่าแทงโก้เริ่มขึ้นในราว ทศวรรษ 1850 เป็นการผสมผสานการเต้นรำของทาสจากแอฟริกากับการลีลาศของชาวยุโรปโดยเฉพาะสเปนและอิตาลี เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์พิศวาส ยั่วยวน เย่อหยิ่ง และดุดัน ในลีลากึ่งอุปรากรและนาฏศิลป์ จุดเด่นของแทงโก้อยู่ที่การทรงตัวอย่างแน่วนิ่งขณะที่มีการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวและเร่าร้อนรุนแรง ท่ามกลางเสียงดนตรีจากแอคคอเดี้ยน เปียโน กีต้าร์ ดับเบิ้ลเบส และไวโอลิน
เมื่อพูดถึงแทงโก้แล้ว ก็คงจะข้ามเรื่องของคาร์ลอส การ์เดล ไปไม่ได้ การ์เดล ได้รับการยกย่องจากชาวอาร์เจนติน่าและชุมชนคนรักแทงโก้ว่าเป็น “ราชาแห่งแทงโก้” โดยเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่สร้างเอกลักษณ์ให้แก่แทงโก้ในสไตล์ของอาร์เจนติน่าจนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นับแต่ปี 1917 เป็นต้นมา การ์เดลเดินทางไปเปิดการแสดงตามประเทศต่าง ๆ ในอมริกาใต้ จากอุรุกวัย ถึงปัวโตริโก้ และข้ามไปเปิดการแสดงในยุโรป ทั้งปารีส แมดริด บาร์เซโลนา และนิวยอร์ก ด้วยรูปร่างที่สมาร์ทและใบหน้าที่หล่อเหลาทำให้เขามีโอกาสแสดงภาพยนตร์กับบริษัทพาราเมาท์หลายเรื่อง การ์เดลเสียชีวิตในปี 1935 จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในโคลอมเบีย ขณะมีอายุได้ 48 ปี เหลือเพียงเรื่องราวที่เป็นประหนึ่งตำนานและบทเพลงที่ยังคงตราตรึงจิตใจของผู้ฟังทั่วโลกตราบจนปัจจุบัน









วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Avocado



อะโวคาโด (Avocado) เป็นผลไม้ที่ปลูกมากในอเมริกา ซื้อกันได้ไม่ยากตามซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำทั่วไป ผลของอะโวคาโดอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ ดี และอี แร่ธาตุต่างๆเช่นโปแตสเซียมและ ซัลเฟอร์ และน้ำมันจากธรรมชาติ อะโวคาโดเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาเสริมความงามให้กับเรือนผม และใบหน้า เพราะเนื้ออะโวคาโดจะแทรกซึมสู่เส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างเป็นดี ถ้าเป็น อะโวคาโดสายพันธุ์จากแคลิฟอร์เนีย (California Avocados)จะดีที่สุด เพราะความอุดมสมบูรณ์และความเข้มข้นของน้ำมันที่มีมากกว่าพันธุ์อื่นๆ



ทะเลทราย Sahara





ทะเลทราย Sahara เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร พอๆ กับสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ ทะเลทราย Sahara มีความแห้งแล้งมาก มีฝนตกไม่เกินปีละ 25 เซนติเมตร ฝนจะตกไม่สม่ำเสมอ แต่จะตกอย่างรุนแรงและหยุดเร็ว ทำให้พื้นไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ แต่เชื่อมั้ยครับว่าเมื่อ 8,000 ถึง 10,000 ก่อน บริเวณที่แห้งแล้งที่สุดของทะเลทราย Sahara แถบประเทศ Niger กลับเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ เป็นที่เกิดของอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึง 2 ครั้ง
Paul Sereno จากมหาวิทยาลัย Chicago นำทีมนักสำรวจเข้าไปในทะเลทรายซาฮารา ส่วนที่อยู่ในประเทศ Niger ณ จุดที่แห้งแล้งไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่ เพื่อค้นหาร่องรอยของไดโนเสาร์ แต่แทนที่จะได้พบซากไดโนเสาร์ กลับพบสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพบในใจกลางทะเลทราย Sahara นั่นก็คือการขุดพบหลุมศพของมนุษย์ประมาณ 200 ศพ นอกจากโครงกระดูกมนุษย์แล้ว ยังพบกระดูกของสัตว์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงปลาและจระเข้อีกด้วยหลุมศพที่พบเหล่านี้อยู่ใกล้บริเวณที่คาดว่าเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน จากการศึกษาด้วยวิธี radiocarbon ทำให้ทราบว่า เป็นโครงกระดูกของมนุษย์ใน 2 ยุคปะปนกัน บริเวณนี้ เคยเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ทิ้งช่วงกันประมาณ 1 พันปี โดยระหว่าง 1 พันปีนี้มีความแห้งแล้งเกิดขึ้น ก่อนที่ความอุดมสมบุณณ์จะกลับมาอีกครั้ง อารยธรรมแรกมีชื่อเรียกว่า Kiffian เกิดขึ้นเมื่อ 8 พันถึง 1 หมื่นปีที่แล้ว โดยมนุษย์ในยุคนี้อาศัยการล่าสัตว์ โดยอาศัยหอก มนุษย์ Kiffian มีรูปร่างสูงใหญ่ มีความสูงถึง 6 ฟุต จากการสังเกตุกระดูกช่วงขา ที่ใหญ่และแข็งแรง ทำให้ทราบว่ามนุษย์ Kiffian มีชีวิตที่ค่อนข้าง Active และทานเนื้อสัตว์เป็นหลัก และมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีความสูงถึง 6 ฟุตอารยธรรมที่สอง เกิดหลังจากอารยธรรม Kiffian ประมาณ1 พันปี คือประมาณ 7พัน ถึง 4.5 พันปีก่อน (เกิดก่อนอารยธรรมอียิปต์บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ประมาณ 1 พันปี) เรียกว่าวัฒนธรรม Tenerian มนุษย์ชาว Tenerian จะมีความเป็นอยู่ที่พัฒนาขึ้น มีการจับปลาและล่าสัตว์ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น และมีการเลียงสัตว์ประเภทวัว แต่ชาว Tenerian จะมีรูปร่างที่เล็กกว่าชาว Kiffianกระดูกของสัตว์ที่พบได้แก่ช้าง ยีราฟ และสัตว์ป่าที่พบกันทั่วๆ ไปในเคนยาทุกวันนี้ ส่วนโครงกระดูกมนุษย์ที่พบมักจะถูกฝังไว้รวมกับอัญมณี หรือรูปเคารพ รวมทั้งดอกไม้ มีการค้นพบโครงกระดูกสตรีและเด็กถูกฝังด้วยกันโดยรองรับร่างของทั้งคู่ด้วยดอกไม้จำนวนมาก และโครงกระดูกมนุษย์เพศชายที่ใส่ไว้ในเรือที่สร้างจากดินเลน

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีคลายเครียด

1.การใช้ชีวิตให้ช้าลง ความเร่งรีบของชีวิตเป็นสาเหตุใหญ่ของความเครียดในปัจจุบัน ถ้าวางแผนตารางชีวิตได้เหมาะสม ความเร่งรีบก็จะลดลง ความเครียดก็จะลดลงตามไปด้วย
2.ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำเช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หากทำเป็นประจำจะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองสมองจะหลั่งฮอร์โมนความสุข ส่งผลให้จิตใจโปร่ง เบา สบาย และมีความสุข
3.การเข้านอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าช่วงแรกจะต้องใช้จิต ตนเองกล่อมให้หลับและปลุกให้ตื่น ตรงตามเวลาก่อน หลังจากนั้นฮอร์โมนภายในร่างกายจะช่วยให้การหลับตื่นเป็นไปเองตามอัตโนมัติ ส่งผลให้จิตใจและสมองสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
4.ฝึกหายใจลึกและช้า โดยหายใจเข้า ท้องจะพองออก หายใจออก ท้องจะยุบลง หากอัตราการหายใจไม่เกิน 10 ครั้งต่อนาที จะช่วยให้จิตผ่อนคลายลงได้มากทีเดียว
5.การฝึกชี่กง ไท้เก๊ก โยคะ โดยจิตจับจ้องจดจ่อไปที่ท่าทางการเคลื่อนไหว สอดคล้องกับช่วงจังหวะการหายใจ จะทำให้จิตนิ่ง สงบและผ่อนคลาย
6.การฝึกยิ้มหัวเราะ มีอารมณ์ขันจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดีในทันทีแถมจะได้รอยยิ้มหัวเราะ และอารมณ์ขันจากคนรอบข้างกลับมาอีกด้วย ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด
7.การฝึกทำสมาธิ ซึ่งมีหลายอารมณ์ หลายวิธีการจะช่วยทำให้จิตสงบ คลื่นสมองจะช้าลงและมีระเบียบมากขึ้น จิตผ่อนคลายร่างกายเป็นสุข
8.การใช้ศิลปะบำบัด เช่น การร้องเพลงเล่นดนตรี การเต้นรำ การวาดรูป ทำงานศิลปะจิตจะจดจ่อกับกิจกรรมที่ผ่อนคลายลืมความทุกข์ความวิตกกังวลได้ดีทีเดียว
9.การรับพลังธรรมชาติ การได้เปลี่ยนบรรยากาศจากที่จำเจไปสู่ธรรมชาติ เช่น ภูเขาต้นไม้ ทะเล สายลม แสงแดด จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายเป็นสุข และยังเป็นการรับพลังจากธรรมชาติเข้าสู่ตัวเราอีกด้วย
10.การสวดมนต์อธิษฐานจิต จิตน้อมไปในคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพรวมทั้งคุณงามความดีที่เราได้กระทำมาในอดีต จะเป็นพลังจิตอย่างมหาศาลให้กับเรา ช่วยให้จิตเราสงบ เย็นและเป็นสุข
สำหรับ 10 เคล็ดลับที่จะช่วยในการผ่อนคลายความเครียดที่กล่าวมานั้นไม่ยากเลย ขอให้ตั้งใจทำและทำบ่อยๆ ให้ติดเป็นนิสัย จะทำให้จิตสบาย กายแข็งแรงพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร แถมไม่ต้องลงทุน

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำไมเราต้องหลับและฝัน


ในช่วงเวลาที่นอนหลับฝันและตื่นนั้น จิตใจของมนุษย์ทำงานอย่างหนักในการจัดการกับ ปัญหาหนัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำ การรับรู้ข้อเท็จจริง อารมณ์ ซึ่งมีความซับซ้อน และประติด ประต่อเข้าด้วยกันเหมือนกับชิ้น puzzle หรืออาจเป็นไปได้ว่า สมอง ทำให้คนฝันในเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อที่จะเป็นการปรับอารมณ์
ปัจจุบัน มีงานวิจัยหลากหลายมุมมอง เกี่ยวกับว่า มีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เราหลับ และประเด็นดังกล่าวนี้ เป็นประเด็นหลัก ๆ ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า พยายามจะทำ ความเข้าใจ "ทำไมเราต้องหลับและฝัน" ผู้เชี่ยวชาญมีข้อสรุปในงานวิจัยของพวกเขาแตกต่างกันไป โดย Science Magazine ฉบับ เดือนพฤศจิกายน มีการเผยแพร่ความรู้เล็กน้อยว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรานอนหลับพักผ่อนในตอน กลางคืน Robert Stickgold ผู้เชี่ยวชาญจาก Department of Psychiatry แห่ง Harvard Medical School เชื่อว่า จิตใจของเรา ทำงานอย่างหนักในขณะนอนหลับ โดยสมองนั้นจะนำข้อมูลและช่วยนำมันไป สู่รูปแบบที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจได้ การทำความเข้าใจในความซับซ้อนของโลก เป็นหนึ่งในภาระ ที่ยากที่สุดของสมอง และมันต้องการเวลามากกว่า 1 ชั่วโมงของการตื่นนอน เพื่อให้งานลุล่วง
ทางด้าน Jerome Siegal นักวิจัยจาก Center for Sleep Research of the Department of Veteran Affairs ผู้ซึ่งได้ศึกษางานวิจัยจำนวนนับโหล เกี่ยวกับความฝัน และการเรียนรู้ บอกว่า เขาไม่พบว่า ในช่วงเวลาหลับนอนนั้น จิตใจของเราได้ทำอะไรที่มีความสำคัญ พร้อมกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ที่ได้มีการ ศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับว่า เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เราหลับนอน และฝันนั้น เขาพบข้อมูลว่า เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ที่มนุษย์บอกว่า การฝันนั้นเป็นการที่เราติดต่อกับบรรพบุรุษ ในขณะที่ ทฤษฎีล่าสุดได้รับการยอมรับว่า สมองของเราดำเนินการแก้ไขปัญหาและช่วยเราในการเรียนรู้ แต่กลับไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่จะมายืนยันทฤษฎีดังกล่าว
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ได้ออกมายืนยันในข้อสรุปของตนเองอย่างหนักแน่น โดย Robert Stickglod อธิบายว่า ในการทดลองของเขา เขาจะให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง ได้รับรู้ถึงปัญหาที่มีความ ซับซ้อน เพื่อให้นำไปแก้และเข้ารับการทดสอบในอีกหลาย ๆ วันถัดไป และในกลุ่มผู้ได้รับการมอบ หมายให้แก้ปัญหานั้น จะมีส่วนหนึ่งได้รับอนุญาติให้นอนหลับ และอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ให้หลับ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ได้มีโอการนอนหลับอย่างเต็มที่ในช่วงเวลากลางคืนนั้น มีประสิทธิภาพในการ แก้ไขปัญหาได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับอนุญาติให้หลับนอน เขาจึงเชื่อว่า ในขณะที่เราหลับนอนนั้น สมองส่วนหนึ่ง จะถูกใช้ไปในเรื่องเกี่ยวกับความจำและทำให้เกิดความฝันขึ้นมา ในขณะที่สมอง อีกส่วนหนึ่งถูกใช้ไปในการจัดการกับข้อมูลใหม่ ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจ และเขายังบอกอีกด้วยว่า คนโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว จะเข้านอนพร้อมกับปัญหาบางอย่างในใจ และจะตื่นขึ้นมา พร้อมกับวิธีการใน การแก้ไขปัญหาบางอย่าง
ในส่วนของ Jaromy Siegel นั้น มองไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเขาอธิบายทฤษฎีของ Robert Stickgold ที่ว่า ทำไมคนที่ได้รับอนุญาติให้นอนหลับ จึงแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า โดยเขาบอกว่า มันเป็นเรื่องของ ความเครียด ซึ่งความเครียดนั้น ทำให้คนเราทำในสิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ พร้อมทั้งยังกล่าวอีกว่า เมื่อสัตว์ ถูกนำมาทำสอบในลักษณะเดียวกับมนุษย ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างจากผลที่ Stickgold ทดสอบไว้
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่น ๆ ที่พยายามจะสังเกตุการณ์ในทั้งสองกรณี ข้างต้น คือ Russ Carter ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจาก Leonard Institute ในเมือง Austin มลรัฐ Texas ที่ระบุว่า ค่อนข้างจะเป็น การชัดเจนที่ว่า สมองได้รับการช่วยเหลือในการเรียนรู้และกระบวนการรับข้อมูล ในขณะที่หลับ เพราะนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทุก ๆ ราย ทราบดีว่า เขาจะสามารถทำแบบทดสอบได้ดี และรับข้อมูลในการเรียนรู้ได้ดีกว่า ถ้าหากนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในช่วงกลางคืน
ส่วนงานวิจัยของ Linda Sveena นักวิจัยด้านการนอนจาก University of Ohio บอกว่า พวกเรา ทราบกันดีว่า มนุษย์จะสามารถทำงานต่าง ๆ ได้ดี ถ้าได้นอนหลับช่วงกลางคืน แต่เราไม่ทราบว่า สมองทำงานในการจัดการกระบวนการต่าง ๆ ของข้อมูลจริงหรือไม่ในขณะที่เรานอนหลับ เพราะหลักฐานในกรณีหลังนี้ มีน้อยมาก
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีทั้งนักวิจัยที่ให้การสนับสนุนและไม่สนับสนุน เรื่องการทำงาน จัดการข้อมูลของสมองในช่วงเวลาหลับก็ตาม แต่นักวิจัยทุกคนต่างเห็นด้วยที่ว่า เราจะต้องไม่อด หลับอดนอนในระยะยาว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ไวน์






ไวน์ (อังกฤษ: wine; ฝรั่งเศส: vin) คือ เมรัยอันผลิตจากน้ำองุ่น[ต้องการอ้างอิง] แต่ก็อาจใช้กับเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผลไม้อื่นเช่นกัน
ไวน์ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลในองุ่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ไวน์ขาว (White wine) หรือ (vin blanc) และ ไวน์แดง (Red wine) หรือ (vin rouge) ไวน์ที่ได้จากการผสมระหว่างไวน์ 2 ชนิดเรียกว่า ไวน์สีชมพู (Rosé หรือว่า Pink wine) [ rosé แปลว่าสีชมพู ถ้าใช้กับ wine เรียกว่า rosé ไปเลยไม่ต้องเรียก vin rosé] ส่วนไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป จะเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ แชมเปญ (Champagne)

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Sophie Marceau


Sophie Marceau (French pronunciation: born 17 November 1966) is a French actress, who has appeared in 35 films. During her teens, Marceau achieved popularity by her debut films La Boum (1980) and La Boum 2 (1982), for which she received a César Award for Most Promising Actress. In addition to her French language films, she has worked in international films such as Braveheart (1995) and as the main antagonist Elektra King in The World Is Not Enough (1999).
Marceau was born Sophie Danièle Sylvie Maupu in Paris, France, the second child of Simone (née Morisset), a shop assistant, and Benoît Maupu, a truck driver.[1][2] The family lived a working-class existence that left Marceau with generally fond memories of childhood. During the week, she helped at the family restaurant. She spent weekends with her family in La Cabane, a small house in Vert-le-Petit in the department Essonne. Her parents divorced when she was nine.[3]

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Justin Bieber

Justin bieber หรือ Justin Drew Bieber หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า เจบี นักร้องหนุ่มน้อยชาวแคนาดาวัย 16 ปีคนนี้ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในปี ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) เมื่อได้เข้าแข่งขันร้องเพลงและได้ตำแหน่งรองชนะเลิศในเวที Stratford Idol และในปี 2007 แม่ของหนุ่มน้อยเจบีได้อัดวิดีโอการร้องเพลงของเจบี แล้วเผยแพร่ลงใน youtube.com และกลายเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องอินเทอร์เน็ต จนสุดท้ายผลงานของ justin bieber ได้ไปเตะตา Scooter Braun ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเจบีในปัจจุบัน ในตอนนั้น Braun ได้ส่งผลงานให้ Usher โปรดิวเซอร์ระดับเซียน และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของความโด่งดังของหนุ่มเจบีคนนี้

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Blanc cuit à la vapeur chili vivaneau chaux(ปลากระพงขาวนึ่งพริกมะนาว)






Ingrédient



Seabass le premier.


Poivron rouge, vert 10 pc.


20 Retour à l'ail


Oignon émincé longs morceaux 1 1 / 2 pouces de 2 tonnes.


Le jus de citron 3 c. à soupe.


La sauce de soja 2 c. à thé.


Bouillon de 3 / 4 tasse


Sucre 1 / 2 c..Sel, sel.


Découpé sauce au citron pour deux verres de certains.


Ail, pour la garniture 1 / 4 tasse


Comment faire


1. Laver le poisson échelle, des dents de poisson et évider le remplissage. Terminal Chevron tronquée nettoyer le poisson des deux côtés. Organisé pour la plaque à la vapeur.


2. Piment Pound ail soigneusement mis dans la soupe assaisonnée de sauce de soja, sucre, sel, poivre blanc et le goût du jus de citron bon goût lorsqu'il est utilisé pour le verser sur le poisson.


3. Led à une forte chaleur dans la vapeur d'eau bouillante pendant 15-20 minutes jusqu'à cuisson complète de lever les verres décorés de tranches de citron. Et le piment haché.

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนมปัง


ขนมปังได้แพร่ไปทั่วโลก แล้วแต่ละประเทศเค้ามีขนมปังแบบไหนกันบ้าง

ขนมปังเป็นอาหารที่ไม่ใช่ขนม ในสมัยอยุธยาตอนที่ชาวยุโรปมาอยู่กันมาก ได้มีการนำแป้งสาลีเข้ามาทำขนมปังกินกันไม่หุงข้าวกินกันแบบบ้านเรา (เพราะข้าวสาลีหุงได้ แต่กินไม่ได้ เพราะมันจะเละ) คำว่าขนมปัง ไทยรับมาตรงๆจากภาษาฝรั่งเศสคือ " Pan " อ่านว่า " แปง " คนไทยเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นอาหารหลักได้ จึงเรียกว่าขนม เรียกติดปากมาตลอดว่า ขนมปัง
ชาวฝรั่งเศสนิยมทำขนมปังเป็นเส้นยาวๆ เรียกว่า French Bread ยาวประมาณ 50 ซม. ผิวนอกแข็งมาก รสชาติจืดๆ ไม่ใส่น้ำตาล ชาวฝรั่งเศสมีรสนิยมในการทำขนมปังมาก ดูแล้วน่าบริโภคไปหมด คนเวียดนามได้สูตรการทำ ขนมปังจากฝรั่งเศส ทำขนมปังเนื้อแน่น ไม่อ่อนพริ้วแบบขนมปังไทย
ชาวอังกฤษชอบทำขนมปังเป็นก้อนกลม ขนาดประมาณ 12 ซม. มีแบบนุ่มและแบบแข็ง แบบนุ่มเรียกว่า Breakfast Roll รับประทานเป็นอาหารเช้า ส่วนแบบแข็งเรียกว่า Dinner Roll อาหารมื้อเย็น เวลาเสริฟ จะเสริฟขนมปังด้านซ้าย และยังชอบทำขนมปัง Scone สำหรับกินกับน้ำชาตอนบ่าย
ทางด้านชาวแดนิชชอบของหวานๆ ขนมปังหวานเรียกว่า Danish Bread ส่วนชาวเยอรมันทำขนมปังหลายแนวมาก มีทั้งเป็นแท่ง เป็นก้อนเล็ก ใหญ่ และมีแบบขดเป็นวง 2 วง เรียกว่า Pretzel ว่ากันว่าสมัยก่อนการกินขาดแคลน ทำเป็นก้อนตันๆไม่พอแบ่ง จึงทำเป็นเส้นเล็กๆขดเป็นวง แต่มีอุบาย หลอกเด็กว่าการทำเป็นวง 2 วง ทำให้สามารถเห็นดวงจันทร์ได้ 2 ดวง
ชาวญี่ปุ่นเรียกขนมปัง ว่า " ปัง " ตรงตัว และทำขนมปังทุกแบบที่มีในโลก หากเข้าร้านขนมปัง ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากมายในประเทศไทย จะพบขนมปังเป็นร้อยชนิด ดูลานตา ไม่รู้จะลองอะไรก่อนดี

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553






เนยแข็ง หรือ ชีส (อังกฤษ: cheese) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งสามารถผลิตได้จากนมวัวหรือแพะ เป็นต้น ที่ผ่านกระบวนการคัดแยกโปรตีน แล้วนำโปรตีนของนมมาทำการผสมเชื้อรา หรือแบคทีเรีย หรือสารอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของเนยแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเนยที่ทำมาจากไขมันของนม
เนยแข็งเป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยมีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดในคัมภีร์ไบเบิล กลุ่มนักรบทหารโรมันเป็นบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้รู้จักเนยแข็ง เพราะไม่ว่าจะยกทัพไปที่ใดก็มักจะนำเนยแข็งไปด้วยเสมอและมักจะแบ่งปันเนยแข็งที่มีให้กับคนท้องถิ่นนั้นๆ โบสถ์จัดว่าเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเนยแข็งที่เด่นชัดที่สุดในสมัยกลาง การจำหน่ายเนยแข็งเพื่อหารายได้เข้าโบสถ์ของบาทหลวงในศาสนาคริสต์ส่งผลให้เกิดเนยแข็งแบบดั้งเดิมที่มีเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น และในเวลาต่อมาเนยแข็งท้องถิ่นนี้ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงรสชาติให้มีความหลากหลาย จนในปัจจุบันมีเนยแข็งมากกว่า 3,000 ชนิด ซึ่งคนไทยมักมีความเข้าใจผิดว่าเนยแข็งและเนยเหลวเป็นอาหารประเภทไขมันเช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้วเนยแข็งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโปรตีนในน้ำนมวัว ในขณะที่เนยเหลวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไขมันในน้ำนมวัว ดังนั้นเนยแข็งจึงจัดเป็นอาหารจำพวกโปรตีนเหมือนเนื้อสัตว์ และมีคุณค่าทางโภชนาการไม้แพ้น้ำนมวัว เนยแข็งให้สารอาหารจำพวก แคลเซียม โปรตีน ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 สังกะสี และไขมัน แต่ให้น้ำตาลแลคโตสในปริมาณที่น้อยกว่าในน้ำนม ผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนมจึงสามารถหันมารับประทานเนยแข็งแทนเป็นทางออกแทนได้ แม้การรับประทานเนยแข็งจะเป็นวัฒนธรรมของต่างชาติแต่ในปัจจุบันนี้เนยแข็งก็เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อวงการอาหารไทย ดังนั้นเราจึงควรรู้จักเลือกรับประทานเนยแข็งโดยเลือกทานชนิดที่มีไขมันต่ำและบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมก็จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด


วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพลงชาติฝรั่งเศส

"Rouget de Lisle chantant la Marseillaise"

รูเชต์ เดอ ลิสล์ร้องเพลงลามาร์แซแยสภาพเขียนโดย อิซิดอร์ ปิลส์ (Isidore Pils)


ลามาร์แซแยส (
ฝรั่งเศส: La Marseillaise, "เพลงแห่งเมืองมาร์เซย์") เป็นชื่อของเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย โคลด โจเซฟ รูเชต์ เดอ ลิสล์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาซ เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de l'Armée du Rhin" (แปลว่า "เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์") เดอลิสล์ได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาวาเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทศฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือจอมพลนิโคลาส ลัคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์เซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นที่มาของชื่งเพลงลามาร์แซแยสดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วย
สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยสเป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อวันที่
14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338 ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยเวลาดังกล่าวแทน หลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้นๆ แต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422




La Marseillaise


Allons enfants de la Patrie
ตื่นเถิด ลูกหลานแห่งปิตุภูมิเอ๋ย
Le jour de gloire est arrivé !
วันอันสว่างไสวมาถึงแล้ว
Contre nous de la tyrannie
เบื้องหน้าเรา เหล่าทรราช
L'étendard sanglant est levé. (bis)
ชักธงอาบเลือดขึ้นแล้ว
Entendez-vous dans les campagnes
พวกท่านได้ยินเสียงในท้องทุ่งหรือไม่ ?
Mugir ces féroces soldats ?
เสียงโห่ร้องของอ้ายทหารป่าเถื่อนนั่น
Ils viennent jusque dans vos bras
มันจะบุกเข้ามาจนประชิดตัว
Égorger vos fils, vos compagnes !
เพื่อบั่นศีรษะของลูกเมียที่อยู่ในอ้อมแขนท่าน !
Aux armes, citoyens !
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย
Formez vos bataillons !
จัดกองทัพของพวกท่านไว้ !
Marchons, marchons !
หน้าเดิน, หน้าเดิน !
Qu'un sang impur
จงยังให้เลือดชั่ว
Abreuve nos sillons !
อาบนองรอยผลานไถของเรา !
Que veut cette horde d'esclaves,
จะต้องการอะไรอีกเล่า เจ้าพวกทาส
De traîtres, de rois conjurés ?
แห่งคนทรยศและราชาผู้ลวงโลก ?
Pour qui ces ignobles entraves
ห่วงโซ่อันเลวร้ายนี้มีไว้ให้ใครกัน
Ces fers dès longtemps préparés ? (bis)
คงเตรียมเหล็กพวกนี้ไว้มานานแล้วสิ ? (ซ้ำ)
Français, pour nous, ah! Quel outrage,
ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย มันเตรียมไว้กับเรานั่นแหละ อ้า! ช่างโหดร้ายนัก
Quels transports il doit exciter !
มันน่าแค้นเสียเหลือเกิน !
C'est nous qu'on ose méditer
เรานี้แหละคือผู้ที่มันบังอาจ
De rendre à l'antique esclavage !
คิดกดหัวให้เรากลับเป็นทาสอีกครั้ง !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...
Quoi! Des cohortes étrangères
ชะ! กองทหารต่างชาติพวกนี้หรือ
Feraient la loi dans nos foyers !
หมายจะตรากฎหมายของมันในแผ่นดินเรา !
Quoi! Ces phalanges mercenaires
ชะ! อ้ายพวกทหารรับจ้างนี้นะหรือ
Terrasseraient nos fiers guerriers ! (bis)
หมายจะทำลายนักรบผู้ภาคภูมิของเรา ! (ซ้ำ)
Grand Dieu! Par des mains enchaînées
พระเป็นเจ้า! ด้วยสองมือที่ถูกล่ามไว้
Nos fronts sous le joug se ploieraient
เราจำต้องก้มหน้าลงภายใต้แอก
De vils despotes deviendraient
เพราะผู้กดขี่สารเลวจะกลายเป็น
Les maîtres de nos destinées !
ผู้ลิขิตชะตาชีวิตของพวกเรา !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...
Tremblez, tyrans et vous perfides
จงสั่นสะท้านเถิด ! เหล่าคนทรยศและทรราช
L'opprobre de tous les partis
สิ่งอันน่าอัปยศของมนุษย์ทั้งหลาย
Tremblez! Vos projets parricides
จงสั่นสะท้านเถิด ! แผนพิฆาตมาตุภูมิของแก
Vont enfin recevoir leurs prix ! (bis)
จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม ! (ซ้ำ)
Tout est soldat pour vous combattre
เราทุกคนคือนักรบที่จะสู้กับแก
S'ils tombent, nos jeunes héros,
มาตรว่าวีรชนผู้เยาว์ของเราสูญชีพไป
La terre en produit de nouveaux,
แผ่นดินย่อมสร้างพวกเขาขึ้นใหม่
Contre vous tout prêts à se battre !
และพร้อมที่จะเข้าร่วมรบต่อต้านแกเสมอ !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...
Français, en guerriers magnanimes,
ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย ในฐานะนักรบผู้สูงเกียรติ
Portez ou retenez vos coups !
จงรู้จักทั้งใช้และยับยั้งอาวุธของท่าน !
Épargnez ces tristes victimes
จงไว้ชีวิตเหยื่อผู้โศกาดูร
À regret s'armant contre nous (bis)
เพราะมิได้เต็มใจจะจับอาวุธต่อต้านพวกเรา (ซ้ำ)
Mais ces despotes sanguinaires
แต่ไม่ใช่กับพวกคนกดขี่กระหายเลือด
Mais ces complices de Bouillé
แต่ไม่ใช่กับพวกสมคบคิดกับนายพลบุยเย
(Bouillé)
Tous ces tigres qui, sans pitié,
มันทั้งนั้นคือเสือร้ายไร้ปราณี
Déchirent le sein de leur mère !
ที่ฉีกกระชากทรวงอกของแม่มันเอง !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...
Amour sacré de la Patrie,
ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ต่อแผ่นดินแม่เอ๋ย
Conduis, soutiens nos bras vengeurs
จงนำทางและเกื้อหนุนหัตถ์แห่งการล้างแค้นของเรา
Liberté, Liberté chérie,
เสรีภาพ เสรีภาพที่รักยิ่งเอ๋ย
Combats avec tes défenseurs ! (bis)
จงมาสู้ร่วมกับผู้พิทักษ์ของเจ้าเถิด ! (ซ้ำ)
Sous nos drapeaux que la victoire
ภายใต้ร่มธงของเรานี้ ชัยชนะเอ๋ย
Accoure à tes mâles accents,
เจ้าจงมาเร็วไวดุจดังชายชาตรี
Que tes ennemis expirants
ขอให้ศัตรูของเจ้าผู้ใกล้ขาดใจตาย,
Voient ton triomphe et notre gloire !
จงได้ประจํกษ์ความมีชัยของเจ้าและเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเรา !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...
(Couplet des enfants)
(บทประสานเสียงสำหรับเด็ก)
Nous entrerons dans la carrière
เราจะขอเข้าแบกรับภาระต่อ
Quand nos aînés n'y seront plus
ในยามที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายวอดวายสิ้น
Nous y trouverons leur poussière
เราจะขอแสวงหาซึ่งอัฐิธาตุ
Et la trace de leurs vertus (bis)
และตามรอยทางแห่งความดีงามของพวกเขาไว้ (ซ้ำ)
Bien moins jaloux de leur survivre
เรามิได้อิจฉาในการมีชีวิตอยู่รอด
Que de partager leur cercueil,
ยิ่งไปกว่าการได้ร่วมตายในโลงเดียวกัน
Nous aurons le sublime orgueil
พวกเราจะขอหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอันสูงส่ง
De les venger ou de les suivre !
ในการล้างแค้น หรือการตามรอยพวกเขาสืบไป !
Aux armes, citoyens...
จับอาวุธเถิด พลเมืองเอย...

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันแม่แห่งชาติ




วันแม่แห่งชาติ


งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ


ทำไมจึงใช้ดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำวันแม่


การที่ใช้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์วันแม่ ก็เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมที่หอมไปไกลและหอมได้นาน ผลิดอกได้ทั้งปี อีกทั้งยังนำไปปรุงเป็นเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้ด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ลึกซึ้งที่แม่มีต่อลูก เป็นความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีพิษมีภัย มีแต่ความชุ่มชื่นใจดั่งความหอมของดอกมะลิ

ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลใสสดหมดระคาย
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย"


คำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา
คำขวัญพระราชทาน เนื่องใน วันแม่แห่งชาติ จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ



คำขวัญวันแม่ ปี 2552


แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้างขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร

เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม



คำขวัญวันแม่ ปี 2551


เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน

ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่นจักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย



คำขวัญวันแม่ ปี 2550


ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน

คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย



คำขวัญวันแม่ ปี 2549


รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลืองใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน

รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย



คำขวัญวันแม่ ปี 2548


ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้าทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย

เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน



คำขวัญวันแม่ ปี 2547


เลี้ยงลูกมาอย่างน้อยเจ็ดร้อยปี

ให้อยู่ดีกินดีมีสุขถ้วน

แม้มีใจกตัญญูรู้การควร

ไทยทั้งมวลจงตอบแทนคุณแผ่นดิน

และ

แผ่นดินไทยให้ชีวิตจิตวิญญาณ

เลี้ยงสังขารลูกไทยจนใหญ่กล้า

เทียบพระคุณของท่านคือมารดา

จงรักษาและทดแทนคุณแผ่นดิน



คำขวัญวันแม่ ปี 2546


สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันแม่ สม่ำเสมอสมัครจิตคิดคำนึง

มิใช่แค่วันใดให้นึกถึงเหมือนแม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน



คำขวัญวันแม่ ปี 2545


แม่คือพระประจำอยู่ในบ้าน พระคุณแม่เลิศล้ำเกินรำพัน

บูชาท่านไว้เถิดเกิดมิ่งขวัญแม่จึงเป็นคนสำคัญทุกวันไป



คำขวัญวันแม่ ปี 2544



" พระองค์แรกผู้แสนดีให้ชีวิต หมอคนแรกผู้ถือช้อนคอยป้อนยา

ครูคนแรกผู้ประสิทธิ์การศึกษารวมคุณค่านี้ได้แก่แม่เราเอง”

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำคมอังกฤษ-ไทย

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."- - Benjamin Disraeli - -ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง

"You get the best out of others when you give the best of yourself."- - Harvey Firestone - -"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."- - Katherine Hepburn - -ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่ เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,and I'm not sure about the former."- - Albert Einstein - -มีเพียงสอง สิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

"Life remains the same until the pain of remaining the samebecomes greater than the pain of change."- - Anonymous - -ชีวิตจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง

"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."- - Anonymous - -เขา..ผู้ สูญสิ้นทรัพย์สินไปเขา..สูญเสียมากเหลือเกินเขา..ผู้สูญสิ้น เพื่อนไปเขา..สูญเสียมากกว่าเขา..ผู้สูญสิ้นความศรัทธาเขา..ผู้ นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."- - Anonymous - -ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."- - Anonymous - -มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."- - Anonymous - -บาง คนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."- - William Blake - -ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีก ของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you seewhen you take your eyes off your goals."- - Anonymous - -อุปสรรค คือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,and the deeper it sinks into, the mind."- - Samuel Taylor Coleridge - -คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."- - W.Shakespeare - -ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;Small minds discuss people."- - Anonymous - -จิตใจที่ยิ่ง ใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน

"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."- - D.Kaye - -ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้ง หมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา

"Forgive your enemies, but never forget their names."- - J.F.Kennedy - -จง ยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."- - T.Roosevelt - -คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -ถ้าคุณต้องการประสบความ สำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว

"Even a Step back can be fatal."- - W.Brudzinski - -แม้ แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

"Imagination is more important than knowledge."- - Albert Einstein - -จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."- - Ralph Waldo Emerson - -รางวัล ของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"- - George Bernard Shaw - -คุณ เห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"Do what you can, with what you have, where you are."- - Theodore Roosevelt - -ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่

"Freedom is nothing else but a chance to do better."- - Albert Camus - -อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."- - Eleanor Roosevelt - -อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของ ตัวเองเท่านั้น

"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".- - Anonymous - -พระ เจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น

"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.You must never run away from a problem.Convince yourself that you will survive and get to the other side."- - Margaret Ramsey * British literary agent - -เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่ง ที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมัน ไปได้

"There is Nothing so Sweet as Love's Young Dreams!"- - Anonymous - -ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวาน เท่ากับความฝันในวัยเยาว์

"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."- - Epictetus (55-135 C.E.) - -สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ

"A person who lives right, and is right, has more power in their silencethan another has by words."- - Phillips Brook - -บุคคลที่มีชีวิต อยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ในความเงียบก็แลมีอำนาจกว่าผู้อื่น

"Life is like a box of choclates."- - F.Gump - -ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลาย สีสันและรสชาติ

"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."- - Anonymous - -ความ สำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง

"It is never too late to be what you might have been."- - George Eliot - -ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่ คุณอยากจะเป็น

"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."- - Ralph waldo Emerson - -อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง และตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์

"Learn from the mistakes of others.You can't live long enough to make them all yourself."- - Anonymous - -จงเรียนรู้จากความ ผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดใน ช่วงชีวิตของเราเอง

"This year's success was last year's impossibility."- - Anonymous - -ความสำเร็จของ ปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา

"Who never made a mistake never made a discovery."- - Soren Kierkegaard - -คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่ง ใด

"Praise the bridge that carried you over."- - George Colman - -จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา

"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."- - Anna Pavlova - -เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่าง ต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย

"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."- - George Eliot - -การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ

"The difference between the impossible and the possiblelies in a man's determination."- - Tommy Lasorda - -เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา

"If you don't stand for something, you'll fall for anything."- - Anonymous - -ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มหลวในทุกๆสิ่ง

"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."- - Eleanor Roosevelt - -ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่ง ที่คุณไม่ต้องการทำ

"A wise man will make more opportunities than he finds."- - Francis Bacon - -คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้

"We write our own destiny. We become what we do."- - Madame Chiang Kai-Shek - -ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็น ในสิ่งที่เราได้กระทำ

"Well done is better than well said."- - Ben Franklin - -การลงมือทำดีกว่าคำ พูดที่สวยหรู

"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."- - Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -ชีวิตผ่านไป อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป

"Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.- - H.Hesse - -ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน

อลังการศาลาไทยที่งานexpo 2010 ที่เซียงไฮ้


เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วกับรูปแบบของอาคารศาลาไทย (Thailand Pavilion) ที่แสดงความเป็นไทยผสมผสานกับเทคโนโลยีทันสมัย ในงาน World Exposition Shanghai China 2010 งานแสดงนิทรรศการระดับนานาชาติ ซึ่งจะจัดขึ้น ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม 2553 รวมระยะเวลา 184 วัน (6 เดือน) ภายใต้แนวคิดหลักของการจัดงานครั้งนี้ คือ “Better City , Better life : เมืองที่ดีกว่า ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงข้อตระหนักที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีเมืองที่ดีกว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ดำเนินการจัดโดย Bureau of International Exhibition หรือ BIE ซึ่งถือเป็นองค์กรระหว่างประเทศ มีหน้าที่บริหารจัดการครั้งนี้ โดยรัฐบาลไทยมอบหมายให้ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการระดับโลก

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยว

ประตูชัย





ประตูชัยนี้ ตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ ที่ตำบลเอตัวล์ บริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile) เป็นประตูชัยที่สร้างโดยสถาปนิกชื่อ ช็อง ชาลแกร็ง (Jean Chalgrin) ในสมัย พระเจ้านโปเลียนที่1และเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ (ค.ศ 1810-1836) สูง 50เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร ที่ผนังด้านในใต้ส่วนโค้งมีการตกแต่งด้วยรูปสลักอันสวยงามต่างๆเช่น ผลงานชื่อ เดอปาร์ต เดส์ โวล็องติเอสหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ลา มาร์แซย์แยส (La Marseillaise) และผลงาน เกี่ยวกับชัยชนะทางทิศตะวันตก ของ พระเจ้านโปเลียน ที่ตอนบนของส่วนโค้งเป็นภาพนูนต่ำ แสดงถึงพิธีศพของ มาร์โซ (Marceau) สงครามอาเล็กซานเดรีย (Alexandrie) ออสเตร์ลิทซ์ (Austerlitz)


พระราชวังแวร์ซายส์








พระราชวังแวร์ซายน์ อยู่ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลกสมัยปัจจุบัน สร้างโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีอัลเครด เลอ นอสเตอ์เป็นสถาปนิกลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1661 สร้างอยู่นาน 30 ปีจึงแล้วเสร็จสิ้นเงินค่าก่อสร้าง500,000,000ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก ภายในพระราชวังแวร์ซายน์ แบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ทุกห้องมีเครื่องประดับประดาล้วนแต่มีค่าสูงมากมายทั้งวัตถุ และภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อมากที่สุดของพระราช วังแห่งนี้ก็คือห้องกระจก ซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมันในมหายุทธสงครามโลกครั้งแรกและเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในมหายุทธสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศสจะประกาศให้กรุงปารีสเป็นเขตปลอดสงครามคือไม่มีทหารตั้งอยู่ทั้งนี้เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตีของข้าศึกไม่ว่าโดยทางใด




พิพิธภัณฑ์ลูฟร์






พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre)เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวงซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonnaof the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โดดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antiochในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฟชั่นสมัยฝรั่งเศส

ประวัติศาสตร์แฟชั่น – สมัยฝรั่งเศส
By: Patti
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ปารีสซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสคือศูนย์กลางแห่งการออกแบบเครื่องแต่งกายของโลก นักออกแบบเครื่องแต่งกายชาวฝรั่งเศสในหลายยุคสมัยที่ผ่านมาได้รับการยกย่องในฝีมือการออกแบบว่าเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายที่มีความสวยงามและนำสมัยมาโดยตลอด ก็เนื่องมาจากประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีวิวัฒนาการที่ยาวนาน สามารจะจำแนกการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสออกเป็นสมัยต่างๆได้ 30 สมัย ดังนี้
1.สมัยโกลัวส์ (Gaulois) ราวพุทธศตวรรษที่ 7 – 9
ในสมัยโกลัวส์ ชาวฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลด้านการแต่งกายมาจากชาวโรมันคือ การแต่งกายของผู้ชายนิยมสวมเสื้อทูนิคยาวแค่เข่า แขนเสื้อยาว ปลายแขนเสื้อกว้าง คอเสื้อเป็นคอตลบ ใช้ผ้าเฉียงเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมติดเข้ากับคอเสื้อไว้คลุมศรีษะแทนการสวมหมวก คาดเข็มขัดทำด้วยผ้า เชือก หรือใช้หนังสัตว์คาดเอว สวมกางเกงขายาวตัวหลวม ยาวคลุมข้อเท้า และสวมรองเท้าทำด้วยหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้นนิยมสวมเสื้อทูนิค ความยาวคลุมเข่า แขนเสื้อยาว ปลายแขนเสื้อกว้าง คอเสื้อเป็นคอตลบปล่อยให้ผ้าตกกองลงมาเป็นริ้ว สวมทับชุดกระโปรงตัวในที่ยาวคลุมข้อเท้า แขนเสื้อยาวแนบแขน มีผ้าคาดเอวผูกทิ้งชายทั้งสองข้างลงมาด้านหน้า สวมเครื่องประดับแบบเรียบง่ายทำด้วยหนังสัตว์และหินสีและไม่สวมรองเท้า
2.สมัยฟรังส์ (Francs) ราวพุทธศตวรรษที่ 10-13
ผู้ชายสมัยฟรังส์นิยมสวมเสื้อทูนิคคอกลมตัวสั้นเหนือเข่า แขนเสื้อยาว แขนเสื้อตอนบนใหญ่แล้วรวบเล็กไว้ที่มือ นิยมกุ๊นขอบชายเสื้อ มีผ้าคลุมทับเป็นเสื้อคลุมที่ไม่มีแขนเสื้อ ไม่มีคอเสื้อ รวบผ้าคลุมไว้ที่ไหล่ด้านขวา เวลารวบผ้าคลุมนิยมจับจีบผ้าให้ดูสวยงาม แล้วใช้เครื่องประดับกลัดตกแต่งไว้ตรงด้านที่รวบ ในสมัยนี้ผู้ชายเริ่มสวมถุงเท้า กล่าวคือ สวมถุงเท้ายาวถึงเข่า ทับกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าหนัง หรือสวมถุงเท้ายาวครึ่งแข้งทับกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าแบบมีสายหนังคาดถักไขว้ไปมาทับถุงเท้าอีกชั้นหนึ่งผูกเป็นโบว์ไว้ที่เข่า รูปแบบการแต่งกายดังกล่าวนี้ มีความคล้ายคลึงกันระหว่างกษัตริย์และสามัญชน ยกเว้นเครื่องประดับศรีษะ ซึ่งกษัตริย์สวมมงกุฎ ส่วนผู้ชายสามัญชนใช้ผ้าคาดศรีษะผูกโบว์ไว้ด้านหลัง สมัยนี้ผู้ชายนิยมไว้หนวด ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงสมัยนี้ยังคงแต่งกายเหมือนสมัยโกลัวส์
3.สมัยพุทธศตวรรษที่ 14-17
การแต่งกายของผู้ชายในสมัยศตวรรษที่ 14-17ยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยฟรังส์ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมแต่งกายด้วยเสื้อทูนิคยาว ความยาวกรอมเท้า ตัวเสื้อเข้ารูปมากขึ้น แขนเสื้อยาวและปลายแขนกว้างมาก สวมทับชุดกระโปรงตัวในที่ยาวคลุมข้อเท้า แขนเสื้อยาวแนบแขน มีผ้ายาวใช้คลุมไหล่และคลุมผมแทนการสวมหมวก หรือสวมเครื่องประดับบนศรีษะ และผู้หญิงสมัยนี้นิยมปักลวดลายตกแต่งลงบนเสื้อผ้า เนื่องจากสมัยนี้เป็นช่วงที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทมากการแต่งกายของผู้หญิงจึงต้องดูสุภาพเรียบร้อยแลดูรัดกุมมากขึ้น
4.สมัยพุทธศตวรรษที่ 18
การแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18คล้ายคลึงกันคือ นิยมสวมเสื้อทูนิคยาวคอเสื้อเป็นคอกลมติดคอ แขนเสื้อยาวตอนบนใหญ่แล้วรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ ใช้เชือกหรือผ้าคาดเอวผูกทิ้งชายไว้ด้านหน้า มีผ้าคลุมไหล่ยาวเกือบถึงชายทูนิค มีเครื่องประดับตกแต่งตรงคอเสื้อ สวมรองเท้าทำด้วยหนัง และนิยมสวมหมวกรูปทรงกลมเป็นแบบง่าย ๆ เครื่องแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกันตรงที่เสื้อทูนิคของผู้ชายยาวกรอมเท้า ส่วนเสื้อทูนิคของผู้หญิงยาวกรอมเท้ากรุยกรายปลายบานออกและผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศรีษะ พันชายผ้าไว้รอบคอแลดูสุภาพเรียบร้อย
5.สมัยพุทธศตวรรษที่ 19
ในสมัยพุทธษตวรรษที่ 19 ผู้ชายนิยมสวมเสื้อคอปิดแขนยาวเข้ารูป ผ่าด้านหน้าตั้งแต่คอเสื้อจรดปลายเสื้อ เสื้อยาวคลุมสะโพก สวมถุงเท้ายางใต้เข่า ทับกางเกงขายาวรัดรูปแล้วสวมรองเท้าบูท (Boot)ทับอีกชั้นหนึ่ง และสวมหมวกทรงกลมแบบง่าย ๆ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้น นิยมสวมชุดยาวกรอมเท้า ผ่าด้านหน้าตั้งแต่คอเสื้อจรดชายกระโปรงตัวเสื้อเข้ารูปเน้นลำตัวช่วงบน แล้วบานออกตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ทิ้งชายกรุยกราย คอเสื้อมีทั้งแบบคอกว้างและคอปิด แขนเสื้อมีทั้งแบบแนบตัวรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ และแบบแนบตัวแล้วบานกว้างออกตั้งแต่ข้อศอกลงมา มองเห็นเสื้อตัวใน สมัยนี้ผู้หญิงยังคงนิยมสวมหมวกรูปทรงง่าย ๆ สวมทับผ้าคลุมศรีษะซึ่งรวบพันคอเก็บไว้ด้านในคอเสื้อ ผู้หญิงสูงศักดิ์สวมมงกุฎ และสวมเครื่องประดับเพชรพลอย
6.สมัยพระเจ้าชาร์ลที่5 (Charles V, พ.ศ. 1899-1923)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 5 กลับมานิยมสวมเสื่อทูนิครูปทรงหลวม ๆ ตัวเสื้อสั้นความยาวคลุมเข่าหรือเหนือเข่า แขนเสื้อบานกว้างออกตั้งแต่หัวไหล่จรดข้อศอกหรือจรดข้อมือ สวมทับเสื้อตัวในที่มีแขนเสื้อยาวเข้ารูป มีเข็มขัดทำด้วยหนังคาดเอว ที่เข็มขัดทำเป็นกระเป๋าใบใหญ่ สวมถุงเท้ายาวถึงสะโพก สวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า สวมหมวกที่ทำจากผ้าหรือขนสัตว์ รูปทรงของหมวกเป็นรูปทรงกลมกระทัดรัดหรือรูปทรงแบบถุงผ้า นิยมปักลวดลายตกแต่งบริเวณคอเสื้อ ส่วนผู้หญิงนั้นยังคงแต่งกายคล้ายคลึงกับพุทธศตวรรษที่ 19
7.สมัยพระเจ้าชาร์ลที่6 (Charles VI, พ.ศ. 1923-1965)
ในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 6 ผู้ชายนิยมส่วนเสื้อคอตั้ง ตัวสั้นเข้ารูป แขนเสื้อพองใหญ่ ผ่าด้านหน้าสำหรับสอดแขน สวมทับเสื้อตัวในที่มีแขนเสื้อยาวเข้ารูป สวมกางเกงขายาวรัดรูป นิยมใช้เครื่องประดับตกแต่ง สวมหมวกที่ทำจากผ้าหรือขนสัตว์ รูปทรงของหมวกเป็นรูปทรงกลมพองฟู ส่วนผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปยาวคลุมสะโพก แขนเสื้อยาวเข้ารูปตกแต่งชายเสื้อด้านหน้าด้วยผ้าขนสัตว์ สวมทับชุดตัวในที่ยาวกรอมเท้าเข้ารูปช่วงบนปลายบานตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส สวมหมวกทรงสูงรูปทรงแปลกตา ทั้งชายและหญิงนิยมสวมเครื่องประดับเพชรพลอยและสวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า
8.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 (Louis XI, พ.ศ. 2009-2026)
การแต่งกายของผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่11กลับมานิยมสวมเสื้อทูนิคสั้นยาวเหนือเข่าผ่าด้านข้างเกือบถึงเอว เสื้อตัวหลวมแขนเสื้อยาว ปกเสื้อปลายแขนเสื้อและชายเสื้อตกแต่งด้วยผ้าขนสัตว์ คาดเข็มขัดทำด้วยหนังต่ำกว่าเอว สวมทับเสื้อตัวในคอปิดที่มีแขนเสื้อยาวรัดรูป ใช้ผ้าผืนยาวคลุมไหล่ สวมกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า และยังคงนิยมสวมหมวกเป็นรูปทรงกลมแบบง่าย ๆ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้น นิยมสวมเสื้อแขนยาวเข้ารูป เน้นรูปร่างคอเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยม สวมกระโปรงยาวกรอมเท้า ปลายบาน ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมทับชุดตัวในตัวยาวกรอมเท้าคอปิดใช้ผ้าคลุมศรีษะ ทิ้งชายไว้เหนือไหล่และสวมรองเท้าหัวแหลม
9.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 (Louis XII, พ.ศ. 2032-2058)
สมัยนี้ตรงกับสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลด้านการแต่งกายจากอิตาลี ผู้ชายสวมเสื้อคอเหลี่ยม แขนยาวรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ ตัวเสื้อปักลวดลาย มีเสื้อคลุมปักลวดลายเช่นเดียวกัน เจาะแขน คลุมไหล่ ตัวยาวแค่เข่า ตกแต่งชายเสื้อด้านหน้าด้วยขนสัตว์ สวมทับกางเกงรัดรูป ส่วนผู้หญิงแต่งกายเน้นรูปร่างตั้งแต่ช่วงสะโพกขึ้นไป สวมกระโปรงยาวกรอมเท้า ปลายบานด้านหลังชายกระโปรงยาวมาก ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมเสื้อแขนกว้าง เจาะแขนตั้งแต่หัวไหล่ลงมาเกือบถึงปลายแขน สวมทับชุดในแขนพองยาว รวบปลายแขน คอเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างมาก เสื้อแต่งเส้นเน้นรูปทรง ปักลวดลายที่ชายแขนเสื้อและชายกระโปรง เสื้อตัวนอกอีกแบบหนึ่งเป็นเสื้อไม่มีแขน โชว์แขนเสื้อตัวใน ซึ่งปักลวดลายมีจีบ พองตรงหังไหล่และข้อศอก แขนยาวแนบแขน ตกแต่งปลายแขนและคอเสื้อด้วยลูกไม้ ทั้งชายและหญิงนิยมสวมเครื่องประดับและสวมรองเท้าทำด้วยไหมหรือกำมะหยี่ โดยต้นสมัยนิยมรองเท้าหัวแหลม ส่วนปลายสมัยหัวรองเท้าเป็นรูปเหลี่ยม มีสายคาดทับบนหลังเท้า และนิยมสวมหมวกรูปทรงแบนเป็นรูปสามเหลี่ยมและรูปทรงกลมประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอย
10.สมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่ 1 (Francois I, พ.ศ. 2508-2090)
สมัยนี้ฝรั่งเศสเฟื่องฟูด้านการแต่งกายเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเป็นการเลียนแบบมาจากอิตาลี ผู้ชายสวมเสื้อคลุมตัวสั้นยาวคลุมสะโพกผ่าหน้า แขนสั้นแค่ข้อศอก สวมทับเสื้อตัวในที่จีบพองทั้งตัว แขนยาวรวบเล็กที่ข้อมือยาวคลุมสะโพกคาดเอวด้วยเข็มขัด สวมกางเกงขาสั้น จีบพองทั้งตัวรัดต้นแขน สวมถุงเท้าผ้า และสวมหมวกประดับด้วยขนนกและเพชรพลอย ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อคอเหลี่ยมกว้าง รัดรูปเน้นอกและเอว แขนยาวจับจีบพองรวบเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่ต้นแขนถึงข้อมือ กระโปรงผ่าหน้ายาวกรอมเท้าสวมทับกระโปรงตัวในยาวกรอมเท้าพองกางคล้ายระฆัง มีโครงภายในทำจากโครงเหล็กหรือกระดูกปลาวาฬหุ้มด้วยผ้าลูกไม้ ใช้ขนสัตว์ตกแต่งแขนเสื้อคลุมโดยทำเป็นวงแขนกว้างไว้สำหรับสอดแขนและเจาะแขนช่วงหน้าตั้งแต่ไหล่ถึงปลายแขนเพื่อโชว์เสื้อตัวใน เสื้อตัวนอกนิยมปักลวดลายใช้ลูกไม้ตกแต่งคอเสื้อปลายแขนและชายกระโปรง สวมเครื่องประดับเพชรพลอยและสวมรองเท้าหนังหัวแหลมหรือหัวเหลี่ยม หัวรองเท้าผู้หญิงเจาะผ้าปักเพชรพลอย
11.สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่2 (Henri II, พ.ศ. 2090-2102)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยพระเจ้าฟรังซัวส์ที่ 1 แตกต่างกันตรงที่มีผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ หรือสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่แขนเสื้อจีบพองใหญ่ ชายผ้าหริอชายเสื้อยาวเหนือเข่า ตกแต่งด้วยผ้าขนสัตว์เพิ่มขึ้นจากเดิม เช่นเดียวกับการแต่งกายของผู้หญิงที่ยังคงแต่งกายคล้ายกับสมัยพระเจ้าฟรัวส์ซัวส์ที่ 1 จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ชุดกระโปรงตัวนอกมีแขนเสื้อพองใหญ่เฉพาะต้นแขนแล้วรัดรูปตามลำแขนไปจนถึงข้อมือ ตกแต่งปลายแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้จีบระบาย ใช้ผ้าลูกไม้ตกแต่งบริเวณเหนืออกขึ้นไป สวมทับกระโปรงตัวในซึ่งเป็นผ้าลูกไม้ สวมหมวกใบเล็กที่ระบายด้วยผ้าลูกไม้เช่นกัน และนิยมสวมรองเท้าส้นสูง นับเป็นครั้งแรกของการแต่งกายของผู้หญิงชาวฝรั่งเศสที่สวมรองเท้าส้นสูง ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้
12.สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่3 (Henri III, พ.ศ. 2117-2132)
ในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3นี้ผู้ชายยังคงสวมเสื้อเข้ารูปผ่าด้านหน้า แขนเสื้อยาวตกแต่งแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้ตัดเส้นรูปแหลมที่เอวชายเสื้อเป็นรูปแหลมยาวเพียงเป้ากางเกง ตกแต่งรอบคอด้วยการระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกออกจากตัวเสื้อ เรียกว่า “แฟรส” (Fraise) แปลว่า ลูก สตรอเบอรี่ ใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่คลุมไหล่ชายผ้ายาวเพียงสะโพก สวมกางเกงขายาวพองช่วงบนแล้วรัดรูปจากเข่าลงไป จีบรูปขากางเกงเป็นเปราะ ๆ ตั้งแต่สะโพกถึงปลายขา สวมทับด้วยถุงเท้าผ้ายาวถึงหัวเข่า แล้วจึงสวมรองเท้าหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิง กลับไปแต่งกายคล้ายกับผู้หญิงในสมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่ 1มีส่วนที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย กล่าวคือ แขนเสื้อรัดรูปยาวถึงข้อมือและแต่งระบายด้วยลูกไม้ ซึ่งในสมัยนี้เริ่มมีการทอลูกไม้ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส สำหรับรองเท้านิยมรองเท้าส้นสูงที่ทำจากหนัง ผู้ชายยังคงสวมเสื้อเข้ารูปผ่าหน้า แขนยาวเข้ารูปแต่งปลายแขนด้วยผ้าลูกไม้ชายเสื้อตรงและสั้นขึ้นเล็กน้อย คาดเข็มขัด แต่งรอบคอด้วยระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกจากตัวเสื้อแต่งไหล่เป็นปีก สวมกางเกงที่มีช่วงบนพองและเจาะเนื้อผ้าเป็นช่องให้เห็นเนื้อผ้าของกางเกงชั้นใน แล้วรัดรูปจากเข่าลงไปใช้ผ้ารัดเข่าแล้วผูกเป็นโบว์ไว้ด้านข้างหรือสวมกางเกงขายาวรัดรูป แล้วสวมทับด้วยกระโปรงจับจีบสั้นพองคลุมสะโพก สวมหมวกและสวมรองเท้าหนังส้นสูง ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อจับจีบเข้ารูป แขนยาวพองเล็กน้อยรวบไว้ที่ข้อมือ ปลายแขนแต่งด้วยลูกไม้ แต่งรอบคอด้วยระบายลูกไม้หรือระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกจากลำตัวเสื้อแต่งไหล่เป็นปีก เอวต่อรูปแหลมและต่อเอวเป็นปีกรูปครึ่งวงกลม ยังคงนิยมสวมกระโปรงยาวกรอมเท้าพองกางคล้ายระฆังมีโครงภายในทำจากโครงเหล็กหรือกระดูกปลาวาฬหุ้มด้วยผ้าลูกไม้ เหมือนสมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่1แต่ตกแต่ง เพิ่มเติมด้วยการหนุนสะโพกให้สูงขึ้น มีการปักลวดลายและการจับจีบกระโปรง
14.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่13 (Louis XIII, พ.ศ. 2153-2186)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังคงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปผ่าหน้า แขนเสื้อยาวพองเล็กน้อยแล้วรวบไว้ที่ข้อมือ ตกแต่งปลายแขนด้วยลูกไม้ ตกแต่งคอเสื้อด้วยการระบายลูกไม้เป็นปีกคลุมไหล่รอบตัว คาดเข็มขัด มีเสื้อคลุมพาดไหล่ ใส่กางเกงขาพองรัดปลายขาแต่งปลายขาด้วยผ้าลูกไม้ สวมวิกผมปลอม สวมหมวกปีกทำด้วยหนังและประดับด้วยขนนกและสวมรองเท้าบู๊ตทำจากหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมส่วนเสื้อเข้ารูปผ่าหน้าคอเสื้อมีทั้งแบบเปิดกว้างและปิดคอสูง ต่อเอวแหลมแขนเสื้อสามส่วนแขนพองใหญ่ รวบไว้เหนือข้อมือตกแต่งปลายแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้ ตกแต่งคอเสื้อด้วยการระบายลูกไม้เป็นปีกคลุมไหล่ทั้งสองข้าง สวมกระโปรงผ่าหน้ายาวกรอมเท้า สวมทับกระโปรงตัวในซึ่งตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ ใช้ผ้าลูกไม้คลุมศรีษะและสวมรองเท้าส้นสูง
15.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14 (Louis XIV, พ.ศ. 2187-2258)
ในสมัยนี้โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2204-2213ฝรั่งเศสเป็นผู้นำแฟชั่นและเป็นยุคแห่งความหรูหราฟุ่มเฟือย เครื่องแต่งกายนิยมประดับด้วยลูกไม้ ผู้ชายสวมเสื้อผ่าหน้าแขนยาวแขนพองเล็กน้อยรวบไว้ที่ข้อมือปลายแขนแต่งด้วยลูกไม้ ผูกผ้าพันคอเนื้อโปร่งเบาสวมทับด้วยเสื้อสูทยาวเกือบถึงเข่า ผ่าติดกระดุมแขนยาว แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเป็นสูทตัวยาวคลุมเข่าแขนกว้างทับอีกชั้นหนึ่ง สวมกางเกงขายาว แล้วจึงสวมถุงเท้ายาวทับขากางเกงรัดถุงเท้าไว้ที่เข่า สวมวิกผม สวมหมวกประดับด้วยขนนกและสวมรองเท้าบู๊ตส้นสูงประดับด้วยโบว์ ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อคอเหลี่ยมกว้างและแต่งรอบคอด้วยลูกไม้ นิยมปักตกแต่งลวดลายบริเวณเสื้อด้านหน้า เน้นรูปร่างตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไป แขนสามส่วนพอดีแขนตกแต่งปลายแขนด้วยลูกไม้ จีบระบายทิ้งชายยาวไปด้านหลังของแขนและตกแต่งช่วงเอวด้วยผ้าจับจีบเป็นรูปโบ กระโปรงยาวกรุยกรายกรอมเท้าและสวมรองเท้าหนังส้นสูง
16.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่15 (Louis XV, พ.ศ. 2258-2313)
ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่างกันตรงที่มีเสื้อคลุมสูทตัวนอก ตกแต่งผ้าลูกไม้ที่ชายเสื้อสวมทับอีกชั้นหนึ่ง นิยมผูกหูกระต่ายขนาดใหญ่ที่คอเสื้อตัวใน และมีการรวบวิกผมแล้วผูกด้วยโบขนาดใหญ่ที่บริเวณท้ายทอย เช่นเดียวกับผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงการแต่งกายเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ นิยมใช้โบตกแต่งตัวเสื้อด้านหน้าแทนการปักลวดลาย และนิยมสวมกระโปรงผ่าหน้าตั้งแต่ช่วงเอวลงไป เผยให้เห็นกระโปรงตัวในซึ่งเป็นลวดลายสวยงามเช่นเดียวกับกระโปรงตัวนอก
17.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16 (Louis XVI, พ.ศ. 2313-2337)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางแมรี่อังตัวเนต (Marie-Antoinette) ซึ่งนับว่ามีบทบาทในการแต่งกายของผู้หญิงในสมัยนี้มาก ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เพียงแต่เปลี่ยนแปลงเสื้อสูทตัวในเป็นเสื้อสูทสั้นยาวแค่สะโพกแขนแคบลง ส่วนผู้หญิงนิยมแต่งกายหรูหราใช้ผ้าสิ้นเปลืองมากแต่งระบายรูดและจับจีบมาก เสื้อคอลึกมีปกเล็กน้อย กระโปรงบานมีโครงด้านในแบบสุ่มไก่แต่งด้วยโบมีพู่ห้อยระย้า กระโปรงจับจีบเดรปที่ด้านหลัง ทรงผมประดับขนนกและไข่มุกตกแต่งหมวกด้วยโบ มีพัดแบบคลี่ออกเป็นเครื่องประดับเครื่องแต่งกายภายนอกอีกชิ้นหนึ่ง ชนชั้นเจ้านายในพระราชสำนักดำรงชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ขณะที่ประชาชนอดอยากยากจนจึงเกิดความไม่พอใจ รวมตัวกันเดินขบวนและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระมเหสีประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยตีน (Guillotin) ในปี พ.ศ. 2337
18.สมัยปฎิวัติ (Revolution, พ.ศ.2337-2342)
ภายหลังการนปฎิวัติครั้งใหญ่ในปี 2337 คณะไดเร็คโตรี (Directory) ได้เข้าบริหารประเทศในปี พ.ศ. 2338 แต่การบริหารเป็นไปอย่างไร้สมรรถภาพ จึงถูกนโปเลียนโบนาปาร์ต ซึ่งได้รับความชื่นชมจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษผู้มีชัยชนะในสงครามกับอียิปต์ฉวยโอกาสทำรัฐประหาร แล้วตั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่ เรียกว่า คอนซูเลท (Consulate) ขึ้นในปี พ.ศ. 2342เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะลำบากยากแค้น การแต่งกายจึงเป็นแบบง่าย ๆ รัดกุมขึ้น ผู้ชายสวมเสื้อกั๊กแต่งเส้นเข้ารูป สวมทับเสื้อตัวในซึ่งจับจีบระบายตรงปกเสื้อและปลายแขน ผูกผ้าพันคอมัสลินพันคอหลายรอบแล้วผูกเป็นโบ มีเสื้อคลุมตัวนอกแขนยาวเข้ารูป สวมทับด้วยเสื้อกั๊กอีกชั้นหนึ่ง ด้านหน้าเปิดออกความยาวแค่เอว ด้านหลังปล่อยชายยาวถึงเข่า สวมกางเกงขายาวเข้ารูป สวมถุงเท้ายาวทับใช้ผ้าผูกเป็นโบไว้ที่ใต้เข่า ส่วนผู้หญิงสวมชุดกระโปรงผ้ามัสลินหรือผ้าฝ้าย เสื้อแขนยาวเข้ารูปคอตั้งคลุมสะโพกเส้นเอวแหลมแต่งระบายย้วยตรงอกเสื้อและปลายแขน สวมทับเสื้อตัวใน ผ่าหน้าติดกระดุมเป็นแถวสวมกระโปรงปลายบาน ทั้งชายหญิงสวมรองเท้าหนังมีสีสันและสวมหมวกทรงสูงแต่งด้วยโบ
19.สมัยคอนซูเลท (The Consulate, พ.ศ. 2342-2347)
หลังจากทำรัฐประหารแล้ว คณะรัฐบานคอนซูเลท ซึ่งมีนโปเลียน โบนาปาร์ตเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะรัฐบาล ได้เข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ.2342 เป็นต้นมา แต่สมัยคอนซูเลทนี้กินเวลาช่วงสั้นเพียง 5 ปี ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2347เเมื่อนโปเลียนได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ใช้พระนามว่า พระเจ้านโปเลียบที่ 1 แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส การแต่งกายในสมัยคอนซูเลทนื้ ผู้ชายยังคงแต่งกายแบบง่ายๆรัดกุม เหมือนในสมัยปฎิวัติแตกต่างตรงเสื้อกั๊กตัวสั้นขึ้นความยาวแค่เอว ใช้ผ้าพันคอพันสูงหลายตลบแทนการผูกโบ สวมหมวกทรงเรือและสวมรองเท้าหนังหัวแหลม ส่วนผู้หญิงสวมชุดตัดด้วยผ้าบางเบาคอกว้างแขนสั้นคอสูงแบบต่อใต้อก สวมกระโปรงยาวปลายบานไม่มาก มีผ้าคลุมไหล่ผืนยาวปักลวดลายตรงชายทั้งสองด้าน ผมปล่อยยาวเป็นหลอดยาวประบ่า นิยมสวมหมวกทรงปาเมลา (Pamela) และสวมรองเท้าหัวแหลมมีส้น
20.สมัยจักรวรรดิที่ (The First Empire, พ.ศ. 2347-2358)
ในสมัยจักรวรรดิที่ 1 ของนโปเลียน บ้านมืองสงบสุขประชาชนจึงมีเวลาหันมาสนจับการแต่งกาย ผู้ชายสวมเสื้อรูปทรงกะทัดรัดนุ่งกางเกงเข้ารูป สวมถุงเท้ายาวทับกางเกงใต้เข่า ใช้ผ้าพันคอและเสื้อสูทเปิดด้านหน้ามีปก ชายเสื้อด้านหลังยาวเกือบถึงเข่าแบบเรียบง่าย สวมรองเท้าบู๊ตยาวยังคงนิยมรองเท้ามีส้น สวมหมวกทรงสูง ส่วนผู้หญิงนิยมสวมเสื้อทรง “เอ็มไพร์” (Empire) ที่ลดความหรูหราลงมามาก เป็นเสื้อเข้ารูปแขนสั้นแขนจีบรูดพองแบบแขนตุ๊กตา ต่อใต้อกเป็นกระโปรงยาวกรอมเท้าลดความบานและความกว้างของกระโปรงลง และเนื่องจากเป็นชุดแบบต่อใต้อกจึงมีเครื่องชั้นในพยุงหรือรั้งทรวงอกให้สูงขึ้น เสื้อยกทรงทำด้วยผ้ามัสลิน เรียกว่า “แบนดีน” (Bandean) มีลักษณะเป็นผืนผ้าด้านหน้า ด้านหลังเป็นสายคาดซ้อนกันแล้วดึงมาผูกไว้ใต้อกนับเป็นพื้นฐานของเสื้อยกทรงหรือบราเซียที่ใช้กันในปัจจุบัน นิยมใช้ผ้าคลุมไหล่ยาวสวมถุงมือยาว หมวกรูปทรงกะทัดรัดขึ้น ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ สมัยจักรวรรดที่ 1 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2358 เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่ประกอบด้วยประเทศออสเตรีย ปรัสเซีย และอังกฤษ ได้ร่วมมือกันปราบจักรพรรดินโปเลียนและเนรเทศให้ไปพำนักอยู่ในเกาะเซนต์เฮเลน่า (St.Helena)จนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2364
21.สมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ (Louis Philippe, พ.ศ. 2373-2391)
สมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ 18 ปี การแต่งกายลดความหรูหราลง การแต่งกายของผู้ชาย นิยมสวมเสื้อเข้ารูปมีปกเล็กลงเปิดเสื้อด้านหน้าถึงเอวชายเสื้อด้านหลังยาวเกือบถึงเข่า สวมเสื้อตัวในเป็นเสื้อกั๊กติดกระดุมสองแถวทับเสื้อแนบตัวแขนยาวอีกชั้นหนึ่ง มีผ้าพันคอผูกเป็นโบ กางเกงทรงแคบลงกว่าเดิม หมวกยังคงนิยมทรงสูง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้นมี2 แบบ แบบแรกนิยมสวมเสื้อแขนยาวแขนรูดพองมากเรียกว่า “แขนขาหมูแฮม” ตกแต่งคอเสื้อด้วยผ้าลูกไม้จีบระบายเป็นชั้นๆปิดคอ สวมกระโปรงปลายบานรูดรอบเอวพองพอควรยาวถึงข้อเท้า สวมหมวกปีกกว้างตกแต่งด้วยโบผูกโยงมารวบเป็นโบอยู่ใต้คาง แบบที่สอง นิยมใช้ผ้าลูกไม้ตกแต่งคอเสื้อซึ่งเป็นคอแหลมลึกเป็นชั้นๆระบายแขนเสื้อตอนกลางและชายกระโปรงเป็นชั้นๆผูกโบที่เอว สวมหมวกปีกกว้างตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ผูกโยงเป็นโบอยู่ใต้คาง ทรงผมของผู้หญิงสมัยนี้นิยมดัดเป็นหลอด ๆ นิยมถือร่มคันเล็ก ทั้งชายและหญิงนิยมสวมรองเท้าหนังมีส้นเล็กน้อย
22.สมัยจักรวรรดิที่2 (The Second Empire, พ.ศ. 2391-2413)
เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นอีก การแต่งกายในช่วงนี้มีความนิยมอย่างใหม่เกิดขึ้นเช่นกัน ผู้ชายนิยมสวมเสื้อสูทตัวยาวทับเสื้อกั๊กซึ่งสวมทับเสื้อเชิ้ตตัวในผูกหูกระต่าย กางเกงฟิตพอดีตัวยาวคลุมรองเท้า ถือไม้เท้าเรียวเล็ก สวมหมวกทรงกลมและทรงสูง ผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปมีทั้งแบบมีปกปิดคอและคอกว้างโชว์แผ่นหลัง กระโปรงบานมากมีแบบซ้อนเป็นชั้นๆใส่สุ่มมีการดันเฉพาะด้านหลัง แลดูเอวเล็กเส้นรอบนอกเหมือนระฆัง มีการตกแต่งชายกระโปรงและเสื้อด้วยโบและอัดพลีทอย่างหรูหรา หมวกนิยมผูกไว้ใต้คาง ถือร่มคันเล็กและพัด ทั้งชายและหญิงสวมรองเท้าหนัง
23.สมัยปี พ.ศ .2413-2432
สมัยนี้เริ่มต้นแต่ช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายหันกลับไปแต่งกายคล้ายกับผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ กล่าวคือ สวมเสื้อตัวนอกคล้ายเสื้อสูทปิดกระดุมหนึ่งเม็ดตรงใต้อกแล้วเปิดกว้างโค้งไปด้านหลังยาวจรดเข่า สวมเสื้อกั๊กติดกระดุมเป็นแถวยาวทับเสื้อแขนยาวตัวในผูกผ้าพันคอทบเก็บในเสื้อกั๊ก สวมกางเกงทรงแคบ สวมหมวกทรงกลมมีปีกรอบ สวมรองเท้าหนัง นิยมไว้เคราและมือเท้าเหมือนในสมัยจักรวรรดิที่ 2ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปอีก สวมเสื้อเข้ารูปคอปิด ผ่าด้านหน้าตลอดติดกระดุมเป็นแถวตัวเสื้อยาวคลุมสะโพก แต่งระบายปลายเสื้อ กระโปรงที่เคยกางพองแบบระฆังเปลี่ยนมานิยมกระโปรงแบบด้านหน้าแนบลำตัวเข้ารูปดูเพรียวขึ้น ด้านหลังแบบหางปลายยาวลากพื้น ต่อเอวต่ำแต่งเส้นเดรปรวบเป็นโบไว้ด้านหลัง มีโครงด้านในดันสะโพกให้โด่งขึ้นทรงนิยมเป็นหลอดและปล่อยเป็นลอนตามธรรมชาติ และนิยมสวมหมวกใบเล็กทับผ้าผูกซึ่งรวบเป็นโบไว้ใต้คาง
24.สมัยปี พ.ศ. 2433-2458
ในสมัยนี้การแต่งกายของผู้ชายนิยมสวมเสื้อคลุมตัวยาวครึ่งแข้งสวมทับเสื้อตัวใน ยังคงใช้ผ้าพันคอ สวมกางเกงฟิตพอดีตัว สวมหมวกทรงสูงและสวมรองเท้าหนังมีส้น ส่วนหการแต่งกายของผู้หญิงนิยมตัดชุดด้วยผ้าพื้นและผ้าตาเล็กๆ ทรงเสื้อกะทัดรัดแบบผู้ชายยาวคลุมสะโพกผ่าด้านหน้าติดกระดุมเป็นแถวมีปกติดคอแขนเสื้อจีบพองใหญ่แค่ข้อศอกแล้วรวบเล็กแนบแขนถึงข้อมือ สวมกระโปรงยาวกรอมเท้ารูดเอวเล็กน้อยปลายออก สวมหมวกสักหลาดแบบมีปีกประดับด้วยขนนกและดอกไม้ และสวมรองเท้าหนังหัวแหลมมีส้น ในสมัยนี้มีการออกแบบชุดเครื่องแต่งกายของผู้หญิงสำหรับใส่ตอนงานวันเกิดขึ้นมากมาย เป็นการแต่งกายแบบง่ายๆไว้ใส่ปั่นจักรยาน,เดินเล่น,ขี่ม้า,นั่งเรือ,ล่าสัตว์โดยนิยมสวมกางเกงขาพองใหญ่จีบรูดรวบเล็กใต้เข่า สวมรองเท้าบู๊ตทับคาดเข็มขัดหนังและสวมหมวกสักหลาด
25.สมัยปี พ.ศ. 2459-2467
เป็นช่วงที่เกิดแฟชั่นการแต่งกายใหม่ๆขึ้น ผู้ชายนิยมสวมเสื้อทรงสูทความยาวแค่สะโพก เสื้อผ่าด้านหน้าติดกระดุมสามเม็ดมีทั้งแบบกระเป๋าเจาะและกระเป๋าปะ สวมทับด้วยเสื้อกั๊กและเสื้อเชิ้ตตัวในผูกเนกไท สวมหมวกทรงเตี้ยถือไม้เท้า สวมถุงเท้าและสวมรองเท้าหุ้มส้นทำด้วยหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปแล้วบานย้วยช่วงหลังคลุมสะโพกหรือเข้าเอวดูทะมัดทะแมง คอเสื้อปิดคอผ่าด้านหน้าติดกระดุมเป็นแถว ตกแต่งคอเสื้อแขนเสื้อชายเสื้อหรือชายกระโปรงด้วยผ้าลูกไม้หรือขนสัตว์ สวมกระโปรงย้วยหรือรูดเป็นชั้นๆยาวคลุมเข่า สวมรองเท้าส้นแหลมและสวมหมวกทรงกลมประดับด้วยขนนกหรือสวมหมวกปีกกว้าง
26.สมัย พ.ศ. 2468-2475
ในสมัยนี้ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนสมัยที่ผ่านมา ในขณะที่แฟชั่นการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนรูปโฉมแปลกตาไปจากเดิมมาก โดยเปลี่ยนมาสวมกระโปรงทรงตรงและสั้นแค่เข่า เสื้อต่อเอวต่ำถึงสะโพกใช้ผ้าน้อยลงคอด้านหลังกว้างลึก นิยมใช้ผ้าย้วยตกแต่งเสื้อหรือสวมเสื้อมีปกเปิดด้านหน้ากว้างแลเห็นเสื้อคอกลมกว้างตัวใน ผู้หญิงสมัยนี้นิยมเคริ่องประดับประเภทไข่มุกลูกปัด สำหรับหมวกนิยมหมวกทรงเล็กพอดีกับศรีษะ ส่วนทรงผมนิยมทรงสั้นแบบผู้ชาย ซึ่งเรียกทรงผมแบบนี้ว่า “กาซอง”(Garcon) และนิยมสวมรองเท้าหัวแหลมส้นสูง
27.สมัยปี พ.ศ. 2476-2490
ในสมัยนี้การแต่งกายของผู้ชายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนมานิยมชุดเข้ารูปแต่งต่องช่วงไหล่ให้แลดูกว้าง ปกเสื้อนิยมปกใหญ่ที่เรียกว่า “ปกเทเลอร์” (Tailored Collar) นิยมสวมกระโปรงทรงยาวครึ่งน่องหรือสวมกระโปรงอัดพลีทความยาวแค่เข่าและคาดเข็มขัด เป็นชุดกลางวันที่เสริมบุคลิกของผู้หญิงให้ดูสง่างาม ในขณะที่ชุดกลางคืนยังคงเป็นชุดกระโปรงยาวที่ทำให้แลดูอ่อนหวานแม้จะเป็นแบบปล่อยตามสบายมีผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ สวมถุงมือยาวถึงข้อศอก นิยมสวมหมวกซึ่งมีรูปทรงแตกต่างกันมีทั้งหมวกปีกกว้างมากและหมวกสักหลาด นิยทถือกระเป๋าหนัง ส่วนรองเท้ามีทั้งแบบส้นสูงและส้นตันรองเท้าหัวแหลมยังคงเป็นที่นิยมอยู่
28.สมัยปี พ.ศ. 2491-2497
สมัยนี้อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การแต่งกายของผู้ชายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีนักออกแบบหน้าใหม่เกิดขึ้นมากในจำนวนนั้นมีคริสเตียน ดิออร์(Christian Dior)รวมอยู่ด้วย ผลงานของเขาออกแสดงเป็นครั้งแรกและประสบผลสำเร็จอย่างงดงามกับแฟชั่นนิวลุค(New Look) เป็นกระโปรงบานคลุมเข่าปิดน่องใช้ผ้าเฉียงย้วยรอบตัวซึ่งมีความกว้างมาก ผลงานที่น่าสนใจของเขาอีก คือ เสื้อทรงเอไลน์(A-line)ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปีพ.ศ. 2497 จนถึง พ.ศ. 2500 แม้ว่าเขาจะจบชีวิตแล้วแต่ชื่อเสียงของดิออร์ก็ยังคงปรากฎทั่วโลกในฐานะนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้มีชื่อเสียง ปัจจุบันยังคงมีผู้ดำเนินกิจการแทน ผลงานของดิออร์นับว่ายังคงมีอิทธิพลต่อนักออกแบบรุ่นปัจจุบัน สำหรับในสมัยนี้ทรงผมของผู้หญิงกลับไปนิยมทรง “กาซอง” คล้ายในสมัยปี พ.ศ.2468-2475 ทำให้ผู้หญิงแลดูทะมัดทะแมงขึ้น นิยมสวมเครื่องประดับตกแต่งแบบง่ายและสวมรองเท้าส้นสูงหนาหัวโค้งมนขึ้น
29.สมัยปี พ.ศ. 2498-2503
ในช่วงนี้ผู้ชายหันมานิยมสวมใส่ยีนส์ (Jeans) ดูทะมัดทะแมงว่ายๆสบายๆสวมเสื้อเชิ้คสีขาวหรือเสื้อยีนส์ คาดเข็มขัดหนังาสวมถุวเท้าและรองเท้าหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมสวมเสื้อยืดคอตั้ง (Stand Collar) มีทั้งแบบแขนสั้นและแขนยาว สวมกับกระโปรงจีบรูดพองฟูยาวคลุมเข่า ถ้าสวมกางเกงก็นิยมฟิตพอดีตัวผ้าตาและผ้าริ้วอยู่ในความนิยม ผู้หญิงทำงานยังคงนิยมชุดสูทเข้ารูปเน้นความสวยงาม สวมหมวกพอดีศรีษะยังคงนิยมเคริ่องประดับตกแต่งแบบเรียบง่าย ทรงผมนิยมทรง “กาซอง”และทรง “หางม้า” และนิยมสวมรองเท้ามัทั้งแบบส้นสูงหนาและส้นเตี้ย
30.สมัยปี พ.ศ. 2504-ปัจจุบัน
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2504เป็นต้นมา การแต่งกายของหญิงและชายหมุนเวียนเปลี่ยนไปมา สรุปได้ว่า แฟชั่นปัจจุบันของผู้ชายได้วิวัฒนาการมาจากเดิมมาก ชุดสากลกลายเป็นแบบที่นิยมใช้กันทั่วโลก เสื้อเชิ้ต (Shirt) เสื้อโปโล (Polo shirt) และเสื้อทีเชิ้ต (T-Shirt) เป็นที่นิยมของทุกวัยกางเกงขายาวนิยมแบบฟิตพอดีตัว กางเกงขาสั้นนิยมเหนือเข่าพอดีเข่า สำหรับยีนส์ยังคงอยู่ในความนิยมตลอดมา ขนาดของเนกไทและปกเสื้อจะเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมส่วนแขนเสื้อและขากางเกงยังคงของเดิมไว้ สำหรับการแต่งกายในปัจจุบันของผู้หญิง ชุดทำงานหรือชุดเดินทางนิยมชุดสูทแบบกระโปรงใต้เข่าหรือเป็นกางเกงตามความเหมาะสมของประเภทของงานที่ทำ เสื้อตัวในนิยมแบบกระโปรงชุด (Dress) ชุดลำลองนิยมแบบชุดคนละท่อนแนวคอเสือ้และปกเสื้อมีทุกรูปแบบเช่นเดียวกับรูปทรงของกระโปรง,กางเกง,แขนเสื้อรวมถึงเครื่องประดับตกแต่งภายนอกร่างกายได้แก่รองเท้า,กระเป๋า,เข็มขัด,แว่นตาก็ขึ้นอยู่กับสมัยนิยมเช่นเดียวกัน
จากการศึกษาประวัติการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสพอสรุปได้ว่า ในช่วงแรกนั้นชาวฝรั่งเศสนิยมแต่งกายแบบเรียบง่ายตามแบบอย่างที่ได้รับอิทธิพลมาจากโรมัน ซึ่งเป็นชาตินักรบและจักรวรรดิโรมันมีอิทธิพลครอบงำประเทศต่างๆในทวีปยุโรปในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านศิลปวัฒนธรรมแล้วจึงพัฒนาการแต่งกายไปสู่รูปแบบที่เน้นความสวยงามเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสรรพวิทยาและความมั่งคั่งของประเทศฝรั่งเศสซ ซึ่งได้ตัดตวงมาจากอาณานิคมที่มีอยู่แทบทุกทวีปในโลก โดยมีเจ้านายในราชสำนักเป็นผู้นำด้านการแต่งกายและการใช้ชีวิตที่เน้นความหรูหราฟุ่มเฟือย จนกระทั่งประชาชนผู้ทุกข์ยากหิวโหยทนแบกรับภาระไม่ได้อีกต่อไป จึงได้รวมตัวกันทำการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงาการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นรูปแบบการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสได้เปลี่ยนมาเป็นแบบที่เน้นความกระชับรัดกุมมากขึ้น เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับสภาพสังคม ซึ่งต้องการความรวดเร็วเร่งรีบ เพราะมีการแข่งขันกันในการประกอบอาชีพสูงขึ้นทุกขณะ การแต่งกายที่ดูหรูหราฟุ่มเฟือยจะมีบ้างก็เพียงบางโอกาส เฉพาะในงานพิธีและงานสมาคมต่างๆที่จำเป็นต้องแต่งเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ยุคก่อนการปฎิวัติ ยุคหลังการปฎิวัติ จนกระทั่งยุคปัจจุบัน ๆได้สะท้อนให้เห็นว่าฐานะทางเศรษฐกิจรวมทั้งสภาวการณ์ของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อรูปแบบการแต่งกายของชนในชาติ