วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันแม่แห่งชาติ




วันแม่แห่งชาติ


งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ


ทำไมจึงใช้ดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำวันแม่


การที่ใช้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์วันแม่ ก็เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมที่หอมไปไกลและหอมได้นาน ผลิดอกได้ทั้งปี อีกทั้งยังนำไปปรุงเป็นเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้ด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ลึกซึ้งที่แม่มีต่อลูก เป็นความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีพิษมีภัย มีแต่ความชุ่มชื่นใจดั่งความหอมของดอกมะลิ

ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลใสสดหมดระคาย
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย"


คำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา
คำขวัญพระราชทาน เนื่องใน วันแม่แห่งชาติ จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ



คำขวัญวันแม่ ปี 2552


แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้างขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร

เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม



คำขวัญวันแม่ ปี 2551


เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน

ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่นจักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย



คำขวัญวันแม่ ปี 2550


ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน

คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย



คำขวัญวันแม่ ปี 2549


รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลืองใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน

รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย



คำขวัญวันแม่ ปี 2548


ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้าทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย

เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน



คำขวัญวันแม่ ปี 2547


เลี้ยงลูกมาอย่างน้อยเจ็ดร้อยปี

ให้อยู่ดีกินดีมีสุขถ้วน

แม้มีใจกตัญญูรู้การควร

ไทยทั้งมวลจงตอบแทนคุณแผ่นดิน

และ

แผ่นดินไทยให้ชีวิตจิตวิญญาณ

เลี้ยงสังขารลูกไทยจนใหญ่กล้า

เทียบพระคุณของท่านคือมารดา

จงรักษาและทดแทนคุณแผ่นดิน



คำขวัญวันแม่ ปี 2546


สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันแม่ สม่ำเสมอสมัครจิตคิดคำนึง

มิใช่แค่วันใดให้นึกถึงเหมือนแม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน



คำขวัญวันแม่ ปี 2545


แม่คือพระประจำอยู่ในบ้าน พระคุณแม่เลิศล้ำเกินรำพัน

บูชาท่านไว้เถิดเกิดมิ่งขวัญแม่จึงเป็นคนสำคัญทุกวันไป



คำขวัญวันแม่ ปี 2544



" พระองค์แรกผู้แสนดีให้ชีวิต หมอคนแรกผู้ถือช้อนคอยป้อนยา

ครูคนแรกผู้ประสิทธิ์การศึกษารวมคุณค่านี้ได้แก่แม่เราเอง”

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำคมอังกฤษ-ไทย

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."- - Benjamin Disraeli - -ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง

"You get the best out of others when you give the best of yourself."- - Harvey Firestone - -"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."- - Katherine Hepburn - -ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่ เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,and I'm not sure about the former."- - Albert Einstein - -มีเพียงสอง สิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

"Life remains the same until the pain of remaining the samebecomes greater than the pain of change."- - Anonymous - -ชีวิตจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง

"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."- - Anonymous - -เขา..ผู้ สูญสิ้นทรัพย์สินไปเขา..สูญเสียมากเหลือเกินเขา..ผู้สูญสิ้น เพื่อนไปเขา..สูญเสียมากกว่าเขา..ผู้สูญสิ้นความศรัทธาเขา..ผู้ นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."- - Anonymous - -ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."- - Anonymous - -มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."- - Anonymous - -บาง คนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."- - William Blake - -ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีก ของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you seewhen you take your eyes off your goals."- - Anonymous - -อุปสรรค คือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,and the deeper it sinks into, the mind."- - Samuel Taylor Coleridge - -คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."- - W.Shakespeare - -ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;Small minds discuss people."- - Anonymous - -จิตใจที่ยิ่ง ใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน

"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."- - D.Kaye - -ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้ง หมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา

"Forgive your enemies, but never forget their names."- - J.F.Kennedy - -จง ยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."- - T.Roosevelt - -คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -ถ้าคุณต้องการประสบความ สำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว

"Even a Step back can be fatal."- - W.Brudzinski - -แม้ แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

"Imagination is more important than knowledge."- - Albert Einstein - -จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."- - Ralph Waldo Emerson - -รางวัล ของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"- - George Bernard Shaw - -คุณ เห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"Do what you can, with what you have, where you are."- - Theodore Roosevelt - -ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่

"Freedom is nothing else but a chance to do better."- - Albert Camus - -อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."- - Eleanor Roosevelt - -อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของ ตัวเองเท่านั้น

"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".- - Anonymous - -พระ เจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น

"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.You must never run away from a problem.Convince yourself that you will survive and get to the other side."- - Margaret Ramsey * British literary agent - -เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่ง ที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมัน ไปได้

"There is Nothing so Sweet as Love's Young Dreams!"- - Anonymous - -ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวาน เท่ากับความฝันในวัยเยาว์

"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."- - Epictetus (55-135 C.E.) - -สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ

"A person who lives right, and is right, has more power in their silencethan another has by words."- - Phillips Brook - -บุคคลที่มีชีวิต อยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ในความเงียบก็แลมีอำนาจกว่าผู้อื่น

"Life is like a box of choclates."- - F.Gump - -ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลาย สีสันและรสชาติ

"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."- - Anonymous - -ความ สำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง

"It is never too late to be what you might have been."- - George Eliot - -ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่ คุณอยากจะเป็น

"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."- - Ralph waldo Emerson - -อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง และตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์

"Learn from the mistakes of others.You can't live long enough to make them all yourself."- - Anonymous - -จงเรียนรู้จากความ ผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดใน ช่วงชีวิตของเราเอง

"This year's success was last year's impossibility."- - Anonymous - -ความสำเร็จของ ปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา

"Who never made a mistake never made a discovery."- - Soren Kierkegaard - -คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่ง ใด

"Praise the bridge that carried you over."- - George Colman - -จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา

"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."- - Anna Pavlova - -เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่าง ต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย

"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."- - George Eliot - -การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ

"The difference between the impossible and the possiblelies in a man's determination."- - Tommy Lasorda - -เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา

"If you don't stand for something, you'll fall for anything."- - Anonymous - -ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มหลวในทุกๆสิ่ง

"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."- - Eleanor Roosevelt - -ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่ง ที่คุณไม่ต้องการทำ

"A wise man will make more opportunities than he finds."- - Francis Bacon - -คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้

"We write our own destiny. We become what we do."- - Madame Chiang Kai-Shek - -ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็น ในสิ่งที่เราได้กระทำ

"Well done is better than well said."- - Ben Franklin - -การลงมือทำดีกว่าคำ พูดที่สวยหรู

"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."- - Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -ชีวิตผ่านไป อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป

"Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.- - H.Hesse - -ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน

อลังการศาลาไทยที่งานexpo 2010 ที่เซียงไฮ้


เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วกับรูปแบบของอาคารศาลาไทย (Thailand Pavilion) ที่แสดงความเป็นไทยผสมผสานกับเทคโนโลยีทันสมัย ในงาน World Exposition Shanghai China 2010 งานแสดงนิทรรศการระดับนานาชาติ ซึ่งจะจัดขึ้น ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม 2553 รวมระยะเวลา 184 วัน (6 เดือน) ภายใต้แนวคิดหลักของการจัดงานครั้งนี้ คือ “Better City , Better life : เมืองที่ดีกว่า ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงข้อตระหนักที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีเมืองที่ดีกว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ดำเนินการจัดโดย Bureau of International Exhibition หรือ BIE ซึ่งถือเป็นองค์กรระหว่างประเทศ มีหน้าที่บริหารจัดการครั้งนี้ โดยรัฐบาลไทยมอบหมายให้ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการระดับโลก

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยว

ประตูชัย





ประตูชัยนี้ ตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ ที่ตำบลเอตัวล์ บริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile) เป็นประตูชัยที่สร้างโดยสถาปนิกชื่อ ช็อง ชาลแกร็ง (Jean Chalgrin) ในสมัย พระเจ้านโปเลียนที่1และเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ (ค.ศ 1810-1836) สูง 50เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร ที่ผนังด้านในใต้ส่วนโค้งมีการตกแต่งด้วยรูปสลักอันสวยงามต่างๆเช่น ผลงานชื่อ เดอปาร์ต เดส์ โวล็องติเอสหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ลา มาร์แซย์แยส (La Marseillaise) และผลงาน เกี่ยวกับชัยชนะทางทิศตะวันตก ของ พระเจ้านโปเลียน ที่ตอนบนของส่วนโค้งเป็นภาพนูนต่ำ แสดงถึงพิธีศพของ มาร์โซ (Marceau) สงครามอาเล็กซานเดรีย (Alexandrie) ออสเตร์ลิทซ์ (Austerlitz)


พระราชวังแวร์ซายส์








พระราชวังแวร์ซายน์ อยู่ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลกสมัยปัจจุบัน สร้างโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีอัลเครด เลอ นอสเตอ์เป็นสถาปนิกลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1661 สร้างอยู่นาน 30 ปีจึงแล้วเสร็จสิ้นเงินค่าก่อสร้าง500,000,000ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก ภายในพระราชวังแวร์ซายน์ แบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ทุกห้องมีเครื่องประดับประดาล้วนแต่มีค่าสูงมากมายทั้งวัตถุ และภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อมากที่สุดของพระราช วังแห่งนี้ก็คือห้องกระจก ซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมันในมหายุทธสงครามโลกครั้งแรกและเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในมหายุทธสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศสจะประกาศให้กรุงปารีสเป็นเขตปลอดสงครามคือไม่มีทหารตั้งอยู่ทั้งนี้เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตีของข้าศึกไม่ว่าโดยทางใด




พิพิธภัณฑ์ลูฟร์






พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre)เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวงซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonnaof the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โดดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antiochในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฟชั่นสมัยฝรั่งเศส

ประวัติศาสตร์แฟชั่น – สมัยฝรั่งเศส
By: Patti
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ปารีสซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสคือศูนย์กลางแห่งการออกแบบเครื่องแต่งกายของโลก นักออกแบบเครื่องแต่งกายชาวฝรั่งเศสในหลายยุคสมัยที่ผ่านมาได้รับการยกย่องในฝีมือการออกแบบว่าเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายที่มีความสวยงามและนำสมัยมาโดยตลอด ก็เนื่องมาจากประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีวิวัฒนาการที่ยาวนาน สามารจะจำแนกการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสออกเป็นสมัยต่างๆได้ 30 สมัย ดังนี้
1.สมัยโกลัวส์ (Gaulois) ราวพุทธศตวรรษที่ 7 – 9
ในสมัยโกลัวส์ ชาวฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลด้านการแต่งกายมาจากชาวโรมันคือ การแต่งกายของผู้ชายนิยมสวมเสื้อทูนิคยาวแค่เข่า แขนเสื้อยาว ปลายแขนเสื้อกว้าง คอเสื้อเป็นคอตลบ ใช้ผ้าเฉียงเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมติดเข้ากับคอเสื้อไว้คลุมศรีษะแทนการสวมหมวก คาดเข็มขัดทำด้วยผ้า เชือก หรือใช้หนังสัตว์คาดเอว สวมกางเกงขายาวตัวหลวม ยาวคลุมข้อเท้า และสวมรองเท้าทำด้วยหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้นนิยมสวมเสื้อทูนิค ความยาวคลุมเข่า แขนเสื้อยาว ปลายแขนเสื้อกว้าง คอเสื้อเป็นคอตลบปล่อยให้ผ้าตกกองลงมาเป็นริ้ว สวมทับชุดกระโปรงตัวในที่ยาวคลุมข้อเท้า แขนเสื้อยาวแนบแขน มีผ้าคาดเอวผูกทิ้งชายทั้งสองข้างลงมาด้านหน้า สวมเครื่องประดับแบบเรียบง่ายทำด้วยหนังสัตว์และหินสีและไม่สวมรองเท้า
2.สมัยฟรังส์ (Francs) ราวพุทธศตวรรษที่ 10-13
ผู้ชายสมัยฟรังส์นิยมสวมเสื้อทูนิคคอกลมตัวสั้นเหนือเข่า แขนเสื้อยาว แขนเสื้อตอนบนใหญ่แล้วรวบเล็กไว้ที่มือ นิยมกุ๊นขอบชายเสื้อ มีผ้าคลุมทับเป็นเสื้อคลุมที่ไม่มีแขนเสื้อ ไม่มีคอเสื้อ รวบผ้าคลุมไว้ที่ไหล่ด้านขวา เวลารวบผ้าคลุมนิยมจับจีบผ้าให้ดูสวยงาม แล้วใช้เครื่องประดับกลัดตกแต่งไว้ตรงด้านที่รวบ ในสมัยนี้ผู้ชายเริ่มสวมถุงเท้า กล่าวคือ สวมถุงเท้ายาวถึงเข่า ทับกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าหนัง หรือสวมถุงเท้ายาวครึ่งแข้งทับกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าแบบมีสายหนังคาดถักไขว้ไปมาทับถุงเท้าอีกชั้นหนึ่งผูกเป็นโบว์ไว้ที่เข่า รูปแบบการแต่งกายดังกล่าวนี้ มีความคล้ายคลึงกันระหว่างกษัตริย์และสามัญชน ยกเว้นเครื่องประดับศรีษะ ซึ่งกษัตริย์สวมมงกุฎ ส่วนผู้ชายสามัญชนใช้ผ้าคาดศรีษะผูกโบว์ไว้ด้านหลัง สมัยนี้ผู้ชายนิยมไว้หนวด ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงสมัยนี้ยังคงแต่งกายเหมือนสมัยโกลัวส์
3.สมัยพุทธศตวรรษที่ 14-17
การแต่งกายของผู้ชายในสมัยศตวรรษที่ 14-17ยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยฟรังส์ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมแต่งกายด้วยเสื้อทูนิคยาว ความยาวกรอมเท้า ตัวเสื้อเข้ารูปมากขึ้น แขนเสื้อยาวและปลายแขนกว้างมาก สวมทับชุดกระโปรงตัวในที่ยาวคลุมข้อเท้า แขนเสื้อยาวแนบแขน มีผ้ายาวใช้คลุมไหล่และคลุมผมแทนการสวมหมวก หรือสวมเครื่องประดับบนศรีษะ และผู้หญิงสมัยนี้นิยมปักลวดลายตกแต่งลงบนเสื้อผ้า เนื่องจากสมัยนี้เป็นช่วงที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทมากการแต่งกายของผู้หญิงจึงต้องดูสุภาพเรียบร้อยแลดูรัดกุมมากขึ้น
4.สมัยพุทธศตวรรษที่ 18
การแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18คล้ายคลึงกันคือ นิยมสวมเสื้อทูนิคยาวคอเสื้อเป็นคอกลมติดคอ แขนเสื้อยาวตอนบนใหญ่แล้วรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ ใช้เชือกหรือผ้าคาดเอวผูกทิ้งชายไว้ด้านหน้า มีผ้าคลุมไหล่ยาวเกือบถึงชายทูนิค มีเครื่องประดับตกแต่งตรงคอเสื้อ สวมรองเท้าทำด้วยหนัง และนิยมสวมหมวกรูปทรงกลมเป็นแบบง่าย ๆ เครื่องแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกันตรงที่เสื้อทูนิคของผู้ชายยาวกรอมเท้า ส่วนเสื้อทูนิคของผู้หญิงยาวกรอมเท้ากรุยกรายปลายบานออกและผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศรีษะ พันชายผ้าไว้รอบคอแลดูสุภาพเรียบร้อย
5.สมัยพุทธศตวรรษที่ 19
ในสมัยพุทธษตวรรษที่ 19 ผู้ชายนิยมสวมเสื้อคอปิดแขนยาวเข้ารูป ผ่าด้านหน้าตั้งแต่คอเสื้อจรดปลายเสื้อ เสื้อยาวคลุมสะโพก สวมถุงเท้ายางใต้เข่า ทับกางเกงขายาวรัดรูปแล้วสวมรองเท้าบูท (Boot)ทับอีกชั้นหนึ่ง และสวมหมวกทรงกลมแบบง่าย ๆ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้น นิยมสวมชุดยาวกรอมเท้า ผ่าด้านหน้าตั้งแต่คอเสื้อจรดชายกระโปรงตัวเสื้อเข้ารูปเน้นลำตัวช่วงบน แล้วบานออกตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ทิ้งชายกรุยกราย คอเสื้อมีทั้งแบบคอกว้างและคอปิด แขนเสื้อมีทั้งแบบแนบตัวรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ และแบบแนบตัวแล้วบานกว้างออกตั้งแต่ข้อศอกลงมา มองเห็นเสื้อตัวใน สมัยนี้ผู้หญิงยังคงนิยมสวมหมวกรูปทรงง่าย ๆ สวมทับผ้าคลุมศรีษะซึ่งรวบพันคอเก็บไว้ด้านในคอเสื้อ ผู้หญิงสูงศักดิ์สวมมงกุฎ และสวมเครื่องประดับเพชรพลอย
6.สมัยพระเจ้าชาร์ลที่5 (Charles V, พ.ศ. 1899-1923)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 5 กลับมานิยมสวมเสื่อทูนิครูปทรงหลวม ๆ ตัวเสื้อสั้นความยาวคลุมเข่าหรือเหนือเข่า แขนเสื้อบานกว้างออกตั้งแต่หัวไหล่จรดข้อศอกหรือจรดข้อมือ สวมทับเสื้อตัวในที่มีแขนเสื้อยาวเข้ารูป มีเข็มขัดทำด้วยหนังคาดเอว ที่เข็มขัดทำเป็นกระเป๋าใบใหญ่ สวมถุงเท้ายาวถึงสะโพก สวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า สวมหมวกที่ทำจากผ้าหรือขนสัตว์ รูปทรงของหมวกเป็นรูปทรงกลมกระทัดรัดหรือรูปทรงแบบถุงผ้า นิยมปักลวดลายตกแต่งบริเวณคอเสื้อ ส่วนผู้หญิงนั้นยังคงแต่งกายคล้ายคลึงกับพุทธศตวรรษที่ 19
7.สมัยพระเจ้าชาร์ลที่6 (Charles VI, พ.ศ. 1923-1965)
ในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 6 ผู้ชายนิยมส่วนเสื้อคอตั้ง ตัวสั้นเข้ารูป แขนเสื้อพองใหญ่ ผ่าด้านหน้าสำหรับสอดแขน สวมทับเสื้อตัวในที่มีแขนเสื้อยาวเข้ารูป สวมกางเกงขายาวรัดรูป นิยมใช้เครื่องประดับตกแต่ง สวมหมวกที่ทำจากผ้าหรือขนสัตว์ รูปทรงของหมวกเป็นรูปทรงกลมพองฟู ส่วนผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปยาวคลุมสะโพก แขนเสื้อยาวเข้ารูปตกแต่งชายเสื้อด้านหน้าด้วยผ้าขนสัตว์ สวมทับชุดตัวในที่ยาวกรอมเท้าเข้ารูปช่วงบนปลายบานตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส สวมหมวกทรงสูงรูปทรงแปลกตา ทั้งชายและหญิงนิยมสวมเครื่องประดับเพชรพลอยและสวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า
8.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 (Louis XI, พ.ศ. 2009-2026)
การแต่งกายของผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่11กลับมานิยมสวมเสื้อทูนิคสั้นยาวเหนือเข่าผ่าด้านข้างเกือบถึงเอว เสื้อตัวหลวมแขนเสื้อยาว ปกเสื้อปลายแขนเสื้อและชายเสื้อตกแต่งด้วยผ้าขนสัตว์ คาดเข็มขัดทำด้วยหนังต่ำกว่าเอว สวมทับเสื้อตัวในคอปิดที่มีแขนเสื้อยาวรัดรูป ใช้ผ้าผืนยาวคลุมไหล่ สวมกางเกงขายาวรัดรูป สวมรองเท้าหัวแหลมทำจากหนังหรือผ้า และยังคงนิยมสวมหมวกเป็นรูปทรงกลมแบบง่าย ๆ ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้น นิยมสวมเสื้อแขนยาวเข้ารูป เน้นรูปร่างคอเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยม สวมกระโปรงยาวกรอมเท้า ปลายบาน ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมทับชุดตัวในตัวยาวกรอมเท้าคอปิดใช้ผ้าคลุมศรีษะ ทิ้งชายไว้เหนือไหล่และสวมรองเท้าหัวแหลม
9.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 (Louis XII, พ.ศ. 2032-2058)
สมัยนี้ตรงกับสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลด้านการแต่งกายจากอิตาลี ผู้ชายสวมเสื้อคอเหลี่ยม แขนยาวรวบเล็กไว้ที่ข้อมือ ตัวเสื้อปักลวดลาย มีเสื้อคลุมปักลวดลายเช่นเดียวกัน เจาะแขน คลุมไหล่ ตัวยาวแค่เข่า ตกแต่งชายเสื้อด้านหน้าด้วยขนสัตว์ สวมทับกางเกงรัดรูป ส่วนผู้หญิงแต่งกายเน้นรูปร่างตั้งแต่ช่วงสะโพกขึ้นไป สวมกระโปรงยาวกรอมเท้า ปลายบานด้านหลังชายกระโปรงยาวมาก ทิ้งชายกรุยกรายลากพื้น สวมเสื้อแขนกว้าง เจาะแขนตั้งแต่หัวไหล่ลงมาเกือบถึงปลายแขน สวมทับชุดในแขนพองยาว รวบปลายแขน คอเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างมาก เสื้อแต่งเส้นเน้นรูปทรง ปักลวดลายที่ชายแขนเสื้อและชายกระโปรง เสื้อตัวนอกอีกแบบหนึ่งเป็นเสื้อไม่มีแขน โชว์แขนเสื้อตัวใน ซึ่งปักลวดลายมีจีบ พองตรงหังไหล่และข้อศอก แขนยาวแนบแขน ตกแต่งปลายแขนและคอเสื้อด้วยลูกไม้ ทั้งชายและหญิงนิยมสวมเครื่องประดับและสวมรองเท้าทำด้วยไหมหรือกำมะหยี่ โดยต้นสมัยนิยมรองเท้าหัวแหลม ส่วนปลายสมัยหัวรองเท้าเป็นรูปเหลี่ยม มีสายคาดทับบนหลังเท้า และนิยมสวมหมวกรูปทรงแบนเป็นรูปสามเหลี่ยมและรูปทรงกลมประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอย
10.สมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่ 1 (Francois I, พ.ศ. 2508-2090)
สมัยนี้ฝรั่งเศสเฟื่องฟูด้านการแต่งกายเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเป็นการเลียนแบบมาจากอิตาลี ผู้ชายสวมเสื้อคลุมตัวสั้นยาวคลุมสะโพกผ่าหน้า แขนสั้นแค่ข้อศอก สวมทับเสื้อตัวในที่จีบพองทั้งตัว แขนยาวรวบเล็กที่ข้อมือยาวคลุมสะโพกคาดเอวด้วยเข็มขัด สวมกางเกงขาสั้น จีบพองทั้งตัวรัดต้นแขน สวมถุงเท้าผ้า และสวมหมวกประดับด้วยขนนกและเพชรพลอย ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อคอเหลี่ยมกว้าง รัดรูปเน้นอกและเอว แขนยาวจับจีบพองรวบเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่ต้นแขนถึงข้อมือ กระโปรงผ่าหน้ายาวกรอมเท้าสวมทับกระโปรงตัวในยาวกรอมเท้าพองกางคล้ายระฆัง มีโครงภายในทำจากโครงเหล็กหรือกระดูกปลาวาฬหุ้มด้วยผ้าลูกไม้ ใช้ขนสัตว์ตกแต่งแขนเสื้อคลุมโดยทำเป็นวงแขนกว้างไว้สำหรับสอดแขนและเจาะแขนช่วงหน้าตั้งแต่ไหล่ถึงปลายแขนเพื่อโชว์เสื้อตัวใน เสื้อตัวนอกนิยมปักลวดลายใช้ลูกไม้ตกแต่งคอเสื้อปลายแขนและชายกระโปรง สวมเครื่องประดับเพชรพลอยและสวมรองเท้าหนังหัวแหลมหรือหัวเหลี่ยม หัวรองเท้าผู้หญิงเจาะผ้าปักเพชรพลอย
11.สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่2 (Henri II, พ.ศ. 2090-2102)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยพระเจ้าฟรังซัวส์ที่ 1 แตกต่างกันตรงที่มีผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ หรือสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่แขนเสื้อจีบพองใหญ่ ชายผ้าหริอชายเสื้อยาวเหนือเข่า ตกแต่งด้วยผ้าขนสัตว์เพิ่มขึ้นจากเดิม เช่นเดียวกับการแต่งกายของผู้หญิงที่ยังคงแต่งกายคล้ายกับสมัยพระเจ้าฟรัวส์ซัวส์ที่ 1 จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ชุดกระโปรงตัวนอกมีแขนเสื้อพองใหญ่เฉพาะต้นแขนแล้วรัดรูปตามลำแขนไปจนถึงข้อมือ ตกแต่งปลายแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้จีบระบาย ใช้ผ้าลูกไม้ตกแต่งบริเวณเหนืออกขึ้นไป สวมทับกระโปรงตัวในซึ่งเป็นผ้าลูกไม้ สวมหมวกใบเล็กที่ระบายด้วยผ้าลูกไม้เช่นกัน และนิยมสวมรองเท้าส้นสูง นับเป็นครั้งแรกของการแต่งกายของผู้หญิงชาวฝรั่งเศสที่สวมรองเท้าส้นสูง ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้
12.สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่3 (Henri III, พ.ศ. 2117-2132)
ในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3นี้ผู้ชายยังคงสวมเสื้อเข้ารูปผ่าด้านหน้า แขนเสื้อยาวตกแต่งแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้ตัดเส้นรูปแหลมที่เอวชายเสื้อเป็นรูปแหลมยาวเพียงเป้ากางเกง ตกแต่งรอบคอด้วยการระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกออกจากตัวเสื้อ เรียกว่า “แฟรส” (Fraise) แปลว่า ลูก สตรอเบอรี่ ใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่คลุมไหล่ชายผ้ายาวเพียงสะโพก สวมกางเกงขายาวพองช่วงบนแล้วรัดรูปจากเข่าลงไป จีบรูปขากางเกงเป็นเปราะ ๆ ตั้งแต่สะโพกถึงปลายขา สวมทับด้วยถุงเท้าผ้ายาวถึงหัวเข่า แล้วจึงสวมรองเท้าหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิง กลับไปแต่งกายคล้ายกับผู้หญิงในสมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่ 1มีส่วนที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย กล่าวคือ แขนเสื้อรัดรูปยาวถึงข้อมือและแต่งระบายด้วยลูกไม้ ซึ่งในสมัยนี้เริ่มมีการทอลูกไม้ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส สำหรับรองเท้านิยมรองเท้าส้นสูงที่ทำจากหนัง ผู้ชายยังคงสวมเสื้อเข้ารูปผ่าหน้า แขนยาวเข้ารูปแต่งปลายแขนด้วยผ้าลูกไม้ชายเสื้อตรงและสั้นขึ้นเล็กน้อย คาดเข็มขัด แต่งรอบคอด้วยระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกจากตัวเสื้อแต่งไหล่เป็นปีก สวมกางเกงที่มีช่วงบนพองและเจาะเนื้อผ้าเป็นช่องให้เห็นเนื้อผ้าของกางเกงชั้นใน แล้วรัดรูปจากเข่าลงไปใช้ผ้ารัดเข่าแล้วผูกเป็นโบว์ไว้ด้านข้างหรือสวมกางเกงขายาวรัดรูป แล้วสวมทับด้วยกระโปรงจับจีบสั้นพองคลุมสะโพก สวมหมวกและสวมรองเท้าหนังส้นสูง ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อจับจีบเข้ารูป แขนยาวพองเล็กน้อยรวบไว้ที่ข้อมือ ปลายแขนแต่งด้วยลูกไม้ แต่งรอบคอด้วยระบายลูกไม้หรือระบายลูกไม้จับจีบเป็นชั้น ระบายแยกจากลำตัวเสื้อแต่งไหล่เป็นปีก เอวต่อรูปแหลมและต่อเอวเป็นปีกรูปครึ่งวงกลม ยังคงนิยมสวมกระโปรงยาวกรอมเท้าพองกางคล้ายระฆังมีโครงภายในทำจากโครงเหล็กหรือกระดูกปลาวาฬหุ้มด้วยผ้าลูกไม้ เหมือนสมัยพระเจ้าฟรังส์ซัวส์ที่1แต่ตกแต่ง เพิ่มเติมด้วยการหนุนสะโพกให้สูงขึ้น มีการปักลวดลายและการจับจีบกระโปรง
14.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่13 (Louis XIII, พ.ศ. 2153-2186)
ผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังคงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปผ่าหน้า แขนเสื้อยาวพองเล็กน้อยแล้วรวบไว้ที่ข้อมือ ตกแต่งปลายแขนด้วยลูกไม้ ตกแต่งคอเสื้อด้วยการระบายลูกไม้เป็นปีกคลุมไหล่รอบตัว คาดเข็มขัด มีเสื้อคลุมพาดไหล่ ใส่กางเกงขาพองรัดปลายขาแต่งปลายขาด้วยผ้าลูกไม้ สวมวิกผมปลอม สวมหมวกปีกทำด้วยหนังและประดับด้วยขนนกและสวมรองเท้าบู๊ตทำจากหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมส่วนเสื้อเข้ารูปผ่าหน้าคอเสื้อมีทั้งแบบเปิดกว้างและปิดคอสูง ต่อเอวแหลมแขนเสื้อสามส่วนแขนพองใหญ่ รวบไว้เหนือข้อมือตกแต่งปลายแขนเสื้อด้วยผ้าลูกไม้ ตกแต่งคอเสื้อด้วยการระบายลูกไม้เป็นปีกคลุมไหล่ทั้งสองข้าง สวมกระโปรงผ่าหน้ายาวกรอมเท้า สวมทับกระโปรงตัวในซึ่งตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ ใช้ผ้าลูกไม้คลุมศรีษะและสวมรองเท้าส้นสูง
15.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14 (Louis XIV, พ.ศ. 2187-2258)
ในสมัยนี้โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2204-2213ฝรั่งเศสเป็นผู้นำแฟชั่นและเป็นยุคแห่งความหรูหราฟุ่มเฟือย เครื่องแต่งกายนิยมประดับด้วยลูกไม้ ผู้ชายสวมเสื้อผ่าหน้าแขนยาวแขนพองเล็กน้อยรวบไว้ที่ข้อมือปลายแขนแต่งด้วยลูกไม้ ผูกผ้าพันคอเนื้อโปร่งเบาสวมทับด้วยเสื้อสูทยาวเกือบถึงเข่า ผ่าติดกระดุมแขนยาว แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเป็นสูทตัวยาวคลุมเข่าแขนกว้างทับอีกชั้นหนึ่ง สวมกางเกงขายาว แล้วจึงสวมถุงเท้ายาวทับขากางเกงรัดถุงเท้าไว้ที่เข่า สวมวิกผม สวมหมวกประดับด้วยขนนกและสวมรองเท้าบู๊ตส้นสูงประดับด้วยโบว์ ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อคอเหลี่ยมกว้างและแต่งรอบคอด้วยลูกไม้ นิยมปักตกแต่งลวดลายบริเวณเสื้อด้านหน้า เน้นรูปร่างตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไป แขนสามส่วนพอดีแขนตกแต่งปลายแขนด้วยลูกไม้ จีบระบายทิ้งชายยาวไปด้านหลังของแขนและตกแต่งช่วงเอวด้วยผ้าจับจีบเป็นรูปโบ กระโปรงยาวกรุยกรายกรอมเท้าและสวมรองเท้าหนังส้นสูง
16.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่15 (Louis XV, พ.ศ. 2258-2313)
ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่างกันตรงที่มีเสื้อคลุมสูทตัวนอก ตกแต่งผ้าลูกไม้ที่ชายเสื้อสวมทับอีกชั้นหนึ่ง นิยมผูกหูกระต่ายขนาดใหญ่ที่คอเสื้อตัวใน และมีการรวบวิกผมแล้วผูกด้วยโบขนาดใหญ่ที่บริเวณท้ายทอย เช่นเดียวกับผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงการแต่งกายเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ นิยมใช้โบตกแต่งตัวเสื้อด้านหน้าแทนการปักลวดลาย และนิยมสวมกระโปรงผ่าหน้าตั้งแต่ช่วงเอวลงไป เผยให้เห็นกระโปรงตัวในซึ่งเป็นลวดลายสวยงามเช่นเดียวกับกระโปรงตัวนอก
17.สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16 (Louis XVI, พ.ศ. 2313-2337)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางแมรี่อังตัวเนต (Marie-Antoinette) ซึ่งนับว่ามีบทบาทในการแต่งกายของผู้หญิงในสมัยนี้มาก ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เพียงแต่เปลี่ยนแปลงเสื้อสูทตัวในเป็นเสื้อสูทสั้นยาวแค่สะโพกแขนแคบลง ส่วนผู้หญิงนิยมแต่งกายหรูหราใช้ผ้าสิ้นเปลืองมากแต่งระบายรูดและจับจีบมาก เสื้อคอลึกมีปกเล็กน้อย กระโปรงบานมีโครงด้านในแบบสุ่มไก่แต่งด้วยโบมีพู่ห้อยระย้า กระโปรงจับจีบเดรปที่ด้านหลัง ทรงผมประดับขนนกและไข่มุกตกแต่งหมวกด้วยโบ มีพัดแบบคลี่ออกเป็นเครื่องประดับเครื่องแต่งกายภายนอกอีกชิ้นหนึ่ง ชนชั้นเจ้านายในพระราชสำนักดำรงชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ขณะที่ประชาชนอดอยากยากจนจึงเกิดความไม่พอใจ รวมตัวกันเดินขบวนและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระมเหสีประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยตีน (Guillotin) ในปี พ.ศ. 2337
18.สมัยปฎิวัติ (Revolution, พ.ศ.2337-2342)
ภายหลังการนปฎิวัติครั้งใหญ่ในปี 2337 คณะไดเร็คโตรี (Directory) ได้เข้าบริหารประเทศในปี พ.ศ. 2338 แต่การบริหารเป็นไปอย่างไร้สมรรถภาพ จึงถูกนโปเลียนโบนาปาร์ต ซึ่งได้รับความชื่นชมจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษผู้มีชัยชนะในสงครามกับอียิปต์ฉวยโอกาสทำรัฐประหาร แล้วตั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่ เรียกว่า คอนซูเลท (Consulate) ขึ้นในปี พ.ศ. 2342เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะลำบากยากแค้น การแต่งกายจึงเป็นแบบง่าย ๆ รัดกุมขึ้น ผู้ชายสวมเสื้อกั๊กแต่งเส้นเข้ารูป สวมทับเสื้อตัวในซึ่งจับจีบระบายตรงปกเสื้อและปลายแขน ผูกผ้าพันคอมัสลินพันคอหลายรอบแล้วผูกเป็นโบ มีเสื้อคลุมตัวนอกแขนยาวเข้ารูป สวมทับด้วยเสื้อกั๊กอีกชั้นหนึ่ง ด้านหน้าเปิดออกความยาวแค่เอว ด้านหลังปล่อยชายยาวถึงเข่า สวมกางเกงขายาวเข้ารูป สวมถุงเท้ายาวทับใช้ผ้าผูกเป็นโบไว้ที่ใต้เข่า ส่วนผู้หญิงสวมชุดกระโปรงผ้ามัสลินหรือผ้าฝ้าย เสื้อแขนยาวเข้ารูปคอตั้งคลุมสะโพกเส้นเอวแหลมแต่งระบายย้วยตรงอกเสื้อและปลายแขน สวมทับเสื้อตัวใน ผ่าหน้าติดกระดุมเป็นแถวสวมกระโปรงปลายบาน ทั้งชายหญิงสวมรองเท้าหนังมีสีสันและสวมหมวกทรงสูงแต่งด้วยโบ
19.สมัยคอนซูเลท (The Consulate, พ.ศ. 2342-2347)
หลังจากทำรัฐประหารแล้ว คณะรัฐบานคอนซูเลท ซึ่งมีนโปเลียน โบนาปาร์ตเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะรัฐบาล ได้เข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ.2342 เป็นต้นมา แต่สมัยคอนซูเลทนี้กินเวลาช่วงสั้นเพียง 5 ปี ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2347เเมื่อนโปเลียนได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ใช้พระนามว่า พระเจ้านโปเลียบที่ 1 แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส การแต่งกายในสมัยคอนซูเลทนื้ ผู้ชายยังคงแต่งกายแบบง่ายๆรัดกุม เหมือนในสมัยปฎิวัติแตกต่างตรงเสื้อกั๊กตัวสั้นขึ้นความยาวแค่เอว ใช้ผ้าพันคอพันสูงหลายตลบแทนการผูกโบ สวมหมวกทรงเรือและสวมรองเท้าหนังหัวแหลม ส่วนผู้หญิงสวมชุดตัดด้วยผ้าบางเบาคอกว้างแขนสั้นคอสูงแบบต่อใต้อก สวมกระโปรงยาวปลายบานไม่มาก มีผ้าคลุมไหล่ผืนยาวปักลวดลายตรงชายทั้งสองด้าน ผมปล่อยยาวเป็นหลอดยาวประบ่า นิยมสวมหมวกทรงปาเมลา (Pamela) และสวมรองเท้าหัวแหลมมีส้น
20.สมัยจักรวรรดิที่ (The First Empire, พ.ศ. 2347-2358)
ในสมัยจักรวรรดิที่ 1 ของนโปเลียน บ้านมืองสงบสุขประชาชนจึงมีเวลาหันมาสนจับการแต่งกาย ผู้ชายสวมเสื้อรูปทรงกะทัดรัดนุ่งกางเกงเข้ารูป สวมถุงเท้ายาวทับกางเกงใต้เข่า ใช้ผ้าพันคอและเสื้อสูทเปิดด้านหน้ามีปก ชายเสื้อด้านหลังยาวเกือบถึงเข่าแบบเรียบง่าย สวมรองเท้าบู๊ตยาวยังคงนิยมรองเท้ามีส้น สวมหมวกทรงสูง ส่วนผู้หญิงนิยมสวมเสื้อทรง “เอ็มไพร์” (Empire) ที่ลดความหรูหราลงมามาก เป็นเสื้อเข้ารูปแขนสั้นแขนจีบรูดพองแบบแขนตุ๊กตา ต่อใต้อกเป็นกระโปรงยาวกรอมเท้าลดความบานและความกว้างของกระโปรงลง และเนื่องจากเป็นชุดแบบต่อใต้อกจึงมีเครื่องชั้นในพยุงหรือรั้งทรวงอกให้สูงขึ้น เสื้อยกทรงทำด้วยผ้ามัสลิน เรียกว่า “แบนดีน” (Bandean) มีลักษณะเป็นผืนผ้าด้านหน้า ด้านหลังเป็นสายคาดซ้อนกันแล้วดึงมาผูกไว้ใต้อกนับเป็นพื้นฐานของเสื้อยกทรงหรือบราเซียที่ใช้กันในปัจจุบัน นิยมใช้ผ้าคลุมไหล่ยาวสวมถุงมือยาว หมวกรูปทรงกะทัดรัดขึ้น ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ สมัยจักรวรรดที่ 1 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2358 เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่ประกอบด้วยประเทศออสเตรีย ปรัสเซีย และอังกฤษ ได้ร่วมมือกันปราบจักรพรรดินโปเลียนและเนรเทศให้ไปพำนักอยู่ในเกาะเซนต์เฮเลน่า (St.Helena)จนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2364
21.สมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ (Louis Philippe, พ.ศ. 2373-2391)
สมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ 18 ปี การแต่งกายลดความหรูหราลง การแต่งกายของผู้ชาย นิยมสวมเสื้อเข้ารูปมีปกเล็กลงเปิดเสื้อด้านหน้าถึงเอวชายเสื้อด้านหลังยาวเกือบถึงเข่า สวมเสื้อตัวในเป็นเสื้อกั๊กติดกระดุมสองแถวทับเสื้อแนบตัวแขนยาวอีกชั้นหนึ่ง มีผ้าพันคอผูกเป็นโบ กางเกงทรงแคบลงกว่าเดิม หมวกยังคงนิยมทรงสูง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนั้นมี2 แบบ แบบแรกนิยมสวมเสื้อแขนยาวแขนรูดพองมากเรียกว่า “แขนขาหมูแฮม” ตกแต่งคอเสื้อด้วยผ้าลูกไม้จีบระบายเป็นชั้นๆปิดคอ สวมกระโปรงปลายบานรูดรอบเอวพองพอควรยาวถึงข้อเท้า สวมหมวกปีกกว้างตกแต่งด้วยโบผูกโยงมารวบเป็นโบอยู่ใต้คาง แบบที่สอง นิยมใช้ผ้าลูกไม้ตกแต่งคอเสื้อซึ่งเป็นคอแหลมลึกเป็นชั้นๆระบายแขนเสื้อตอนกลางและชายกระโปรงเป็นชั้นๆผูกโบที่เอว สวมหมวกปีกกว้างตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ผูกโยงเป็นโบอยู่ใต้คาง ทรงผมของผู้หญิงสมัยนี้นิยมดัดเป็นหลอด ๆ นิยมถือร่มคันเล็ก ทั้งชายและหญิงนิยมสวมรองเท้าหนังมีส้นเล็กน้อย
22.สมัยจักรวรรดิที่2 (The Second Empire, พ.ศ. 2391-2413)
เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นอีก การแต่งกายในช่วงนี้มีความนิยมอย่างใหม่เกิดขึ้นเช่นกัน ผู้ชายนิยมสวมเสื้อสูทตัวยาวทับเสื้อกั๊กซึ่งสวมทับเสื้อเชิ้ตตัวในผูกหูกระต่าย กางเกงฟิตพอดีตัวยาวคลุมรองเท้า ถือไม้เท้าเรียวเล็ก สวมหมวกทรงกลมและทรงสูง ผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปมีทั้งแบบมีปกปิดคอและคอกว้างโชว์แผ่นหลัง กระโปรงบานมากมีแบบซ้อนเป็นชั้นๆใส่สุ่มมีการดันเฉพาะด้านหลัง แลดูเอวเล็กเส้นรอบนอกเหมือนระฆัง มีการตกแต่งชายกระโปรงและเสื้อด้วยโบและอัดพลีทอย่างหรูหรา หมวกนิยมผูกไว้ใต้คาง ถือร่มคันเล็กและพัด ทั้งชายและหญิงสวมรองเท้าหนัง
23.สมัยปี พ.ศ .2413-2432
สมัยนี้เริ่มต้นแต่ช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายหันกลับไปแต่งกายคล้ายกับผู้ชายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์ กล่าวคือ สวมเสื้อตัวนอกคล้ายเสื้อสูทปิดกระดุมหนึ่งเม็ดตรงใต้อกแล้วเปิดกว้างโค้งไปด้านหลังยาวจรดเข่า สวมเสื้อกั๊กติดกระดุมเป็นแถวยาวทับเสื้อแขนยาวตัวในผูกผ้าพันคอทบเก็บในเสื้อกั๊ก สวมกางเกงทรงแคบ สวมหมวกทรงกลมมีปีกรอบ สวมรองเท้าหนัง นิยมไว้เคราและมือเท้าเหมือนในสมัยจักรวรรดิที่ 2ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปอีก สวมเสื้อเข้ารูปคอปิด ผ่าด้านหน้าตลอดติดกระดุมเป็นแถวตัวเสื้อยาวคลุมสะโพก แต่งระบายปลายเสื้อ กระโปรงที่เคยกางพองแบบระฆังเปลี่ยนมานิยมกระโปรงแบบด้านหน้าแนบลำตัวเข้ารูปดูเพรียวขึ้น ด้านหลังแบบหางปลายยาวลากพื้น ต่อเอวต่ำแต่งเส้นเดรปรวบเป็นโบไว้ด้านหลัง มีโครงด้านในดันสะโพกให้โด่งขึ้นทรงนิยมเป็นหลอดและปล่อยเป็นลอนตามธรรมชาติ และนิยมสวมหมวกใบเล็กทับผ้าผูกซึ่งรวบเป็นโบไว้ใต้คาง
24.สมัยปี พ.ศ. 2433-2458
ในสมัยนี้การแต่งกายของผู้ชายนิยมสวมเสื้อคลุมตัวยาวครึ่งแข้งสวมทับเสื้อตัวใน ยังคงใช้ผ้าพันคอ สวมกางเกงฟิตพอดีตัว สวมหมวกทรงสูงและสวมรองเท้าหนังมีส้น ส่วนหการแต่งกายของผู้หญิงนิยมตัดชุดด้วยผ้าพื้นและผ้าตาเล็กๆ ทรงเสื้อกะทัดรัดแบบผู้ชายยาวคลุมสะโพกผ่าด้านหน้าติดกระดุมเป็นแถวมีปกติดคอแขนเสื้อจีบพองใหญ่แค่ข้อศอกแล้วรวบเล็กแนบแขนถึงข้อมือ สวมกระโปรงยาวกรอมเท้ารูดเอวเล็กน้อยปลายออก สวมหมวกสักหลาดแบบมีปีกประดับด้วยขนนกและดอกไม้ และสวมรองเท้าหนังหัวแหลมมีส้น ในสมัยนี้มีการออกแบบชุดเครื่องแต่งกายของผู้หญิงสำหรับใส่ตอนงานวันเกิดขึ้นมากมาย เป็นการแต่งกายแบบง่ายๆไว้ใส่ปั่นจักรยาน,เดินเล่น,ขี่ม้า,นั่งเรือ,ล่าสัตว์โดยนิยมสวมกางเกงขาพองใหญ่จีบรูดรวบเล็กใต้เข่า สวมรองเท้าบู๊ตทับคาดเข็มขัดหนังและสวมหมวกสักหลาด
25.สมัยปี พ.ศ. 2459-2467
เป็นช่วงที่เกิดแฟชั่นการแต่งกายใหม่ๆขึ้น ผู้ชายนิยมสวมเสื้อทรงสูทความยาวแค่สะโพก เสื้อผ่าด้านหน้าติดกระดุมสามเม็ดมีทั้งแบบกระเป๋าเจาะและกระเป๋าปะ สวมทับด้วยเสื้อกั๊กและเสื้อเชิ้ตตัวในผูกเนกไท สวมหมวกทรงเตี้ยถือไม้เท้า สวมถุงเท้าและสวมรองเท้าหุ้มส้นทำด้วยหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมสวมเสื้อเข้ารูปแล้วบานย้วยช่วงหลังคลุมสะโพกหรือเข้าเอวดูทะมัดทะแมง คอเสื้อปิดคอผ่าด้านหน้าติดกระดุมเป็นแถว ตกแต่งคอเสื้อแขนเสื้อชายเสื้อหรือชายกระโปรงด้วยผ้าลูกไม้หรือขนสัตว์ สวมกระโปรงย้วยหรือรูดเป็นชั้นๆยาวคลุมเข่า สวมรองเท้าส้นแหลมและสวมหมวกทรงกลมประดับด้วยขนนกหรือสวมหมวกปีกกว้าง
26.สมัย พ.ศ. 2468-2475
ในสมัยนี้ผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนสมัยที่ผ่านมา ในขณะที่แฟชั่นการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนรูปโฉมแปลกตาไปจากเดิมมาก โดยเปลี่ยนมาสวมกระโปรงทรงตรงและสั้นแค่เข่า เสื้อต่อเอวต่ำถึงสะโพกใช้ผ้าน้อยลงคอด้านหลังกว้างลึก นิยมใช้ผ้าย้วยตกแต่งเสื้อหรือสวมเสื้อมีปกเปิดด้านหน้ากว้างแลเห็นเสื้อคอกลมกว้างตัวใน ผู้หญิงสมัยนี้นิยมเคริ่องประดับประเภทไข่มุกลูกปัด สำหรับหมวกนิยมหมวกทรงเล็กพอดีกับศรีษะ ส่วนทรงผมนิยมทรงสั้นแบบผู้ชาย ซึ่งเรียกทรงผมแบบนี้ว่า “กาซอง”(Garcon) และนิยมสวมรองเท้าหัวแหลมส้นสูง
27.สมัยปี พ.ศ. 2476-2490
ในสมัยนี้การแต่งกายของผู้ชายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงเปลี่ยนมานิยมชุดเข้ารูปแต่งต่องช่วงไหล่ให้แลดูกว้าง ปกเสื้อนิยมปกใหญ่ที่เรียกว่า “ปกเทเลอร์” (Tailored Collar) นิยมสวมกระโปรงทรงยาวครึ่งน่องหรือสวมกระโปรงอัดพลีทความยาวแค่เข่าและคาดเข็มขัด เป็นชุดกลางวันที่เสริมบุคลิกของผู้หญิงให้ดูสง่างาม ในขณะที่ชุดกลางคืนยังคงเป็นชุดกระโปรงยาวที่ทำให้แลดูอ่อนหวานแม้จะเป็นแบบปล่อยตามสบายมีผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ สวมถุงมือยาวถึงข้อศอก นิยมสวมหมวกซึ่งมีรูปทรงแตกต่างกันมีทั้งหมวกปีกกว้างมากและหมวกสักหลาด นิยทถือกระเป๋าหนัง ส่วนรองเท้ามีทั้งแบบส้นสูงและส้นตันรองเท้าหัวแหลมยังคงเป็นที่นิยมอยู่
28.สมัยปี พ.ศ. 2491-2497
สมัยนี้อยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การแต่งกายของผู้ชายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีนักออกแบบหน้าใหม่เกิดขึ้นมากในจำนวนนั้นมีคริสเตียน ดิออร์(Christian Dior)รวมอยู่ด้วย ผลงานของเขาออกแสดงเป็นครั้งแรกและประสบผลสำเร็จอย่างงดงามกับแฟชั่นนิวลุค(New Look) เป็นกระโปรงบานคลุมเข่าปิดน่องใช้ผ้าเฉียงย้วยรอบตัวซึ่งมีความกว้างมาก ผลงานที่น่าสนใจของเขาอีก คือ เสื้อทรงเอไลน์(A-line)ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปีพ.ศ. 2497 จนถึง พ.ศ. 2500 แม้ว่าเขาจะจบชีวิตแล้วแต่ชื่อเสียงของดิออร์ก็ยังคงปรากฎทั่วโลกในฐานะนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้มีชื่อเสียง ปัจจุบันยังคงมีผู้ดำเนินกิจการแทน ผลงานของดิออร์นับว่ายังคงมีอิทธิพลต่อนักออกแบบรุ่นปัจจุบัน สำหรับในสมัยนี้ทรงผมของผู้หญิงกลับไปนิยมทรง “กาซอง” คล้ายในสมัยปี พ.ศ.2468-2475 ทำให้ผู้หญิงแลดูทะมัดทะแมงขึ้น นิยมสวมเครื่องประดับตกแต่งแบบง่ายและสวมรองเท้าส้นสูงหนาหัวโค้งมนขึ้น
29.สมัยปี พ.ศ. 2498-2503
ในช่วงนี้ผู้ชายหันมานิยมสวมใส่ยีนส์ (Jeans) ดูทะมัดทะแมงว่ายๆสบายๆสวมเสื้อเชิ้คสีขาวหรือเสื้อยีนส์ คาดเข็มขัดหนังาสวมถุวเท้าและรองเท้าหนัง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงนิยมสวมเสื้อยืดคอตั้ง (Stand Collar) มีทั้งแบบแขนสั้นและแขนยาว สวมกับกระโปรงจีบรูดพองฟูยาวคลุมเข่า ถ้าสวมกางเกงก็นิยมฟิตพอดีตัวผ้าตาและผ้าริ้วอยู่ในความนิยม ผู้หญิงทำงานยังคงนิยมชุดสูทเข้ารูปเน้นความสวยงาม สวมหมวกพอดีศรีษะยังคงนิยมเคริ่องประดับตกแต่งแบบเรียบง่าย ทรงผมนิยมทรง “กาซอง”และทรง “หางม้า” และนิยมสวมรองเท้ามัทั้งแบบส้นสูงหนาและส้นเตี้ย
30.สมัยปี พ.ศ. 2504-ปัจจุบัน
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2504เป็นต้นมา การแต่งกายของหญิงและชายหมุนเวียนเปลี่ยนไปมา สรุปได้ว่า แฟชั่นปัจจุบันของผู้ชายได้วิวัฒนาการมาจากเดิมมาก ชุดสากลกลายเป็นแบบที่นิยมใช้กันทั่วโลก เสื้อเชิ้ต (Shirt) เสื้อโปโล (Polo shirt) และเสื้อทีเชิ้ต (T-Shirt) เป็นที่นิยมของทุกวัยกางเกงขายาวนิยมแบบฟิตพอดีตัว กางเกงขาสั้นนิยมเหนือเข่าพอดีเข่า สำหรับยีนส์ยังคงอยู่ในความนิยมตลอดมา ขนาดของเนกไทและปกเสื้อจะเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมส่วนแขนเสื้อและขากางเกงยังคงของเดิมไว้ สำหรับการแต่งกายในปัจจุบันของผู้หญิง ชุดทำงานหรือชุดเดินทางนิยมชุดสูทแบบกระโปรงใต้เข่าหรือเป็นกางเกงตามความเหมาะสมของประเภทของงานที่ทำ เสื้อตัวในนิยมแบบกระโปรงชุด (Dress) ชุดลำลองนิยมแบบชุดคนละท่อนแนวคอเสือ้และปกเสื้อมีทุกรูปแบบเช่นเดียวกับรูปทรงของกระโปรง,กางเกง,แขนเสื้อรวมถึงเครื่องประดับตกแต่งภายนอกร่างกายได้แก่รองเท้า,กระเป๋า,เข็มขัด,แว่นตาก็ขึ้นอยู่กับสมัยนิยมเช่นเดียวกัน
จากการศึกษาประวัติการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสพอสรุปได้ว่า ในช่วงแรกนั้นชาวฝรั่งเศสนิยมแต่งกายแบบเรียบง่ายตามแบบอย่างที่ได้รับอิทธิพลมาจากโรมัน ซึ่งเป็นชาตินักรบและจักรวรรดิโรมันมีอิทธิพลครอบงำประเทศต่างๆในทวีปยุโรปในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านศิลปวัฒนธรรมแล้วจึงพัฒนาการแต่งกายไปสู่รูปแบบที่เน้นความสวยงามเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสรรพวิทยาและความมั่งคั่งของประเทศฝรั่งเศสซ ซึ่งได้ตัดตวงมาจากอาณานิคมที่มีอยู่แทบทุกทวีปในโลก โดยมีเจ้านายในราชสำนักเป็นผู้นำด้านการแต่งกายและการใช้ชีวิตที่เน้นความหรูหราฟุ่มเฟือย จนกระทั่งประชาชนผู้ทุกข์ยากหิวโหยทนแบกรับภาระไม่ได้อีกต่อไป จึงได้รวมตัวกันทำการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงาการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นรูปแบบการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสได้เปลี่ยนมาเป็นแบบที่เน้นความกระชับรัดกุมมากขึ้น เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับสภาพสังคม ซึ่งต้องการความรวดเร็วเร่งรีบ เพราะมีการแข่งขันกันในการประกอบอาชีพสูงขึ้นทุกขณะ การแต่งกายที่ดูหรูหราฟุ่มเฟือยจะมีบ้างก็เพียงบางโอกาส เฉพาะในงานพิธีและงานสมาคมต่างๆที่จำเป็นต้องแต่งเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการแต่งกายของชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ยุคก่อนการปฎิวัติ ยุคหลังการปฎิวัติ จนกระทั่งยุคปัจจุบัน ๆได้สะท้อนให้เห็นว่าฐานะทางเศรษฐกิจรวมทั้งสภาวการณ์ของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อรูปแบบการแต่งกายของชนในชาติ

การบินไทย

ประวัติบริษัทฯ
การบินไทย สายการบินแห่งชาติ
บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) เป็นรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินกิจการในด้านการบินพาณิชย์ในประเทศ และระหว่างประเทศ ในฐานะสายการบินแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นรัฐวิสาหกิจของชาติ ที่ดำเนินกิจการแข่งขันกับต่างประเทศ ในธุรกิจการบินโลก และเป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถทำกำไรต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งยังได้รับการยกย่องในด้านต่างๆ ให้อยู่ในระดับสายการบินชั้นนำของโลกเสมอมา
การบินไทยเริ่มก่อตั้งขึ้นโดยการทำสัญญาร่วมทุนระหว่าง บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด กับสายการบินสแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ ซิสเต็ม หรือใช้ชื่อย่อว่า เอส เอ เอส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2502 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจการบิน ระหว่าง ประเทศ และได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2503 ด้วยทุน จดทะเบียน 2 ล้านบาท โดยบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 70 และ เอส. เอ. เอส. ถือหุ้นร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน ต่อมา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2520 เอส. เอ. เอส. ได้โอนหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดให้แก่ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด และถือเป็น การยกเลิกสัญญาร่วมทุน ก่อตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช 2503 โดย บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด กับบริษัทสายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ ซิสเต็มหรือใช้ชื่อย่อว่า เอส เอ เอส ได้ร่วมลงทุนกิจการด้วยทุนเพียง 2 ล้านบาท โดยเดินอากาศไทยถือหุ้นร้อยละ 70 และ เอส เอ เอส ถือหุ้นร้อยละ 30 ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีการเพิ่มทุนอย่างเป็น ขั้นตอนตลอดมาจนถึงปีพุทธศักราช 2520 บริษัท เดินอากาศไทย ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดคืนจาก เอส เอ เอส ตามมติ คณะรัฐมนตรี และมอบโอนหุ้นที่ซื้อมาให้กระทรวงการคลัง ดังนั้น การบินไทย จึงเป็นสายการบินของคนไทยอย่างแท้จริง และมี บริษัท เดินอากาศไทยกับกระทรวงการคลัง เป็นผู้ร่วมถือหุ้น ต่อมาเมื่อวันที่1 เมษายน 2531 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการรวมกิจการการบินภายในประเทศที่ดำเนินการ โดยบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด เข้ากับกิจการของบริษัทฯ เป็นผลให้เงินทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2,230 ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังนั้นบริษัทฯ จึงเป็นสายการบินแห่งชาติที่รับผิดชอบกิจการ การบินพาณิชย์ ทั้งเส้นทางบินระหว่างประเทศ และเส้นทางบินภายในประเทศทั้งหมด และเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการดำเนินธุรกิจที่สำคัญเกิดขึ้น โดยคณะรัฐมนตรี มีมติให้ดำเนินการดังนี้1. นำบริษัท ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย2. เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 3,000 ล้านบาท โดยนำหุ้นเพิ่มทุนส่วนแรกจำนวน 100 ล้านหุ้น ในราคาตามมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ออกจัดสรรก่อน3. ให้จัดหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5 ล้านหุ้น ขายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ในราคาตามมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท4. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลืออีกจำนวน 95 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นการระดมทุนจากภาคเอกชน อันจะทำให้การบินไทย มีศักยภาพในการแข่งขันด้านการพาณิชย์ รวมทั้งเป็นการให้ประชาชนและพนักงาน ได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสายการบินแห่งชาติด้วยบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2534 โดยได้ทำการแปลงกำไรสะสมให้เป็นหุ้นเพิ่มทุนทำให้บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนเป็น13,000 ล้านบาท และทำการเพิ่มทุน จดทะเบียนใหม่อีกจำนวน 3,000 ล้านบาท รวมเป็นทุนจดทะเบียน 16,000 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 14,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง ถือหุ้นร้อยละ 79.5 และธนาคารออมสินถือหุ้นร้อยละ 13.4 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 7.1 กระจายสู่นักลงทุนทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งพนักงานของบริษัทฯ และในวันที่20-21 พฤศจิกายน 2546 บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 442.75 ล้านหุ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2543 วันที่ 20 สิงหาคม 2545 และวันที่ 16 กันยายน 2546 โดยหุ้นที่เสนอดังกล่าว เป็นหุ้นเพิ่มทุน 285,000,000 หุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลัง 157,750,000 หุ้น โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ในการลงทุนในโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์บนเครื่องบิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯตั้งแต่เดือน กันยายน 2547 บริษัทฯได้จำหน่ายหุ้นให้กับพนักงานจำนวน 13,896,150 หุ้น ในราคาหุ้นละ 15 บาท ภายใต้โครงการจัดสรรหลักทรัพย์ให้พนักงาน (Employee Securities Option Plan) โดยบริษัทฯ จะยังคงจำหน่ายหุ้นให้กับพนักงานที่ถือใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นภายใต้โครงการดังกล่าวจนกระทั่งสิ้นสุดโครงการในเดือนเมษายน 2549

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับผิว

เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
สาว ๆ ที่มีผิวสีคล้ำส่วนมากมักแอบอิจฉาสาวผิวขาวเป็นธรรมดา เพราะไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าสีอะไร ก็ดูเค้าท่าไปซะหมด ส่วนสาวผิวคล้ำอย่างเรา ขืนใส่เสื้อผ้าสีสด มีหวังโดนล้อว่าอีกาคาบพริกแน่นอน วันนี้เราเลยมีวิธีการเลือกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะกับสาวสีผิวต่าง ๆ มาฝากกัน

ผิวอมชมพู
สีผิวแบบนี้จะส่งผลให้เจ้าของผิวดูเปล่งปลั่งและดูมีสุขภาพดีกว่าสีผิวอื่นๆ ฉะนั้นเสื้อผ้าที่เลือกใส่ควรเลือกเป็นโทนที่อ่อนๆ สดใสๆ อย่างสีฟ้าอมเขียว สีฟ้าอ่อน โกโก้ สีชมพูอ่อน สีส้ม เป็นต้น เพราะโทนสีเหล่านี้จะช่วยทำให้สีผิวของคุณดูเจรดจรัสเกินหน้าคนอื่นๆ เชียวค่ะ

ผิวขาวอมเหลือง
สาวที่มีผิวขาวมากนั้นถือว่าค่อนข้างโชคดีเหมือนสาวผิวอมชมพู เพราะสามารถเลือกโทนสีๆหนๆ มาส่วมใส่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเขียว สีฟ้า สีชมพู เป็นต้น ฉะนั้น อย่าแปลกใจถ้าจะมีใครแอบชำเลืองคุณด้วยความอิจฉา “ผิวพรรณที่ต่างกันจะให้สวมเสื้อผ่าสีเดียวกันแล้วดูสวยงามเหมือนกัน คงเป็นไปไม่ได้ ควรเลือกสีสันเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิวจะดีกว่าค่ะ”

ผิวขาวซีด
สีผิวที่ขาวจนเกินไปจนแลดูเหมือนสุขภาพไม่แข็งแรงนัก ควรเลือกสีที่มีโทนค่อนข้างเข็ม หรือหม่นสักเล็กน้อยเพื่อขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย เช่น สีแดงเข้ม สีเหลืองอมน้ำตาล สีน้ำตาลไหม้ หรือสีเขียวเข้ม เป็นต้น

ผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง
สาวผิวสีนี้ค่อนข้างดูเซ็กซี่มีเสน่ห์อยู่ในตัว การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมจึงควรเลือกเสื้อผ้าที่มีสีค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ ที่ดูไม่ร้อนแรงหรือเย็นตาจนเกินไป เช่น สีน้ำตาลอมแดง สีเขียวอมฟ้า สีชมพูอมส้ม สีเลือดนก สีชมพูหม่น เป็นต้น

Bow ^^

My name ' s Wipawan