วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลสำรวจเผย ชาวอินเดียมีมือถือใช้มากกว่ามีส้วมใช้

สำนักข่าวต่างประเทศเผยผลสำรวจสำมะโนประชากรสุดอึ้ง เมื่อประชากรในอินเดียที่มีกว่า 1,200 คน มีมือถือใช้มากกว่า มีส้วมเป็นสัดส่วนภายในบ้าน

โดย ผลสำรวจระบุว่า คนอินเดียมีส้วมที่บ้านเพียง 46.9% ขณะที่อีก 49.8% ใช้บริการส้วมลมโชยในที่สาธารณะ และอีก 3.2% ใช้ส้วมสาธารณะในการถ่ายทุกข์

ขณะที่ คนอินเดียกว่า 63.2% มีโทรศัพท์ใช้ที่บ้าน และ 53.2% มีโทรศัพท์มือถือใช้ ผลการสำรวจพบด้วยว่า คนอินเดียมีทีวีดู 47.2% แต่มีวิทยุฟังเพียง 19.9% และเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพียแค่ 3.1%

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ระบุว่า ผลสำรวจดังกล่าวเกิดจากความแตกต่างของระบบสังคมในอินเดีย ขณะที่คนนับล้านสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างง่ายดาย แต่คนจนอีกจำนวนมหาศาล กลับเข้าไม่ถึงแม้แต่บริการสาธารณสุขพื้นฐาน

อันตรายจากหมากฝรั่ง

หมากฝรั่ง คือ ก้อนสารปรุงแต่งอาหารอย่างหนึ่ง มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น กัมเบส ( เป็นส่วนผสมหลักในหมากฝรั่ง คล้ายกาว ทำจากยางชิคเคิลเล็กน้อย และพลาสติกที่มาจากน้ำมันปิโตเลียม ) ทาร์ สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ สารอิมัลติไฟเออร์ ( เป็นสารที่ทำให้ส่วนประกอบต่างๆในหมากฝรั่งเข้ากันได้ดี ) ปกติส่วนประกอบหลักในหมากฝรั่ง ต้องเป็นยางชิคเคิล ที่ทำจากยางของต้นละมุด แต่ในปัจจุบันจะใช้ กัมเบสแทน เพราะ พื้นที่ป่าเขตร้อนน้อยลง ทำให้ยางชิคเคิลมีราคาเเพง
หมากฝรั่งมี 2 ชนิด คือ ชิววิ่งกัม ( หมากฝรั่งที่มีกลิ่น ) และ บับเบิ้ลกัม ( หมากฝรั่งที่เป่าลูกโป่งได้ )

อันตรายจากการใช้ยา

อันตรายจากการใช้ยา

1. การดื้อยาและการต้านยา (Drug Resistance and Drug Tolerance)
การดื้อยา เป็นภาวะที่เชื้อโรคต่างๆที่เคยถูกทำลายด้วยยาชนิดหนึ่งๆ สามารถปรับตัวจนกระทั่งยานั้นไม่สามารถทำลาย ได้อีกต่อไป เชื้อโรคที่ดื้อยาแล้วจะสามารถถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ไปยังเชื้อโรครุ่นต่อไป ทำให้การใช้ยาชนิดเดิมไม่สามารถ ใช้ทำลายหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาให้ครบตามขนาดของยาที่แพทย์กำหนดและไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ตัวอย่าง
ยาที่มักเกิดการดื้อยาได้แก่ ยาต่อต้านเชื้อ (Antibacterals) เช่น ยาซัลฟา เพนนิซิลิน เตตราไซคลิน สเตร็บโตไมซิน เป็นต้น
การต้านยา มีความหมายคล้ายการดื้อยา แต่การต้านยามีผลมาจากร่างกายของผู้ใช้ยา ไม่ใช่เป็นการปรับตัวของเชื้อโรค
ร่างกายจะสร้างเอ็นไซม์หรือใช้ระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
ก่อให้เกิดอาการติดยา เช่น บาร์บิทูเรท มอร์ฟีน เป็นต้น

2. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence)
การใช้ยาในทางที่ผิด หมายถึง การนำยามาใช้ด้วยตนเอง และนำยามาใช้โดยมิใช่เป็นการรักษาโรค เป็นการใช้ยาไม่
ถูกต้อง และไม่ยอมรับในทางยา
การติดยา มักเป็นผลจากการนำยามาใช้ในทางที่ผิด เช่น แอมเฟตามีน เพื่อกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกแจ่มใส ไม่ง่วง
หรือเพื่อลดความอ้วน เมื่อใช้ติดต่อกันนานๆจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ให้มีความต้องการยาอยู่เสมอ และปริมาณ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าขาดยาอาจทำให้ถึงตายได้ เช่นเมื่อติดยาแอเฟตามีน จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และเสียชีวิต
เพราะอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด

3. การแพ้ยา (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ร่างกาย
จะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านยาชนิดนั้น เมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีก ตัวยาจะไปทำปฏิกิริยากับภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิด
การแพ้ยา โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ช็อก หอบ หืด คัดจมูก ไอจาม ลมพิษ โลหิตจาง หรืออาจเสียชีวิตได้
จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์

4. ผลค้างเคียง (Side Effect) เป็นอาการปกติทางเภสัชวิทยาที่เกิดควบคู่กับผลทางรักษาทางยา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน และ
มีความรุนแรงต่างกัน เช่น การใช้แอนทีฮีสตามีน มีผลในการลดน้ำมูก ลดอาการแพ้ แต่อาจมีผลค้างเคียงคือ ทำให้
ง่วงนอน ซึมเซา ควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร และการขับรถ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย

5. พิษของยา (Toxic Effect) เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นพิษเป็นผลของยาที่ใช้ ถ้ายังเพิ่ม
ขนาดใช้ยา อาการพิษก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอวัยวะนั้น ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใช้ยาในระยะเวลานานติดต่อกัน แม้
จะใช้ในขนาดปกติ ก็เกิดเป็นพิษได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถ้าใช้นาน ๆ
หรือขนาดสูง ๆ โรคโลหิตจางและโรคติดเชื้อได้ง่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบไหล
เวียนของโลหิต นอกจากนี้ยาบางชนิดซึ่งมารดาใช้ขณะตั้งครรภ์ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์ขั้นรุนแรงได้

สิงคโปร์ ครองแชมป์ ทำโลกร้อนที่สุดในเอเชีย

รายงาน ของกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ระบุว่า สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีอัตราต่อหัวของประชาชากรในปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศของโลก มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา

โดยปัจจัยหลักอยู่ที่ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมก่อสร้าง สอดคล้องกับตัวเลขข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ ระบุว่า ในปี 2554 สิงคโปร์ซึ่งตัวเลขจีดีพีต่อหัวประชากร มากกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล 43,454 กิโลตัน

ทั้งนี้ นางโยลันดา กากาบัดเซ ประธานWWF กล่าวว่า ชาวสิงคโปร์บริโภคอาหารและพลังงานเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างประชากรกับขนาดของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชาวโลกไม่ควรทำตาม

อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีพลังงานทางเลือก จึงต้องใช้พลังงานจำนวนมากดังกล่าว

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Gioachino Antonio

Gioachino Antonio Rossini (Italian pronunciation:(Giovacchino Antonio Rossini in the baptismal certificate) (29 February 1792 – 13 November 1868) was an Italian composer who wrote 39 operas as well as sacred music, chamber music, songs, and some instrumental and piano pieces. His best-known operas include the Italian comedies Il barbiere di Siviglia (The Barber of Seville) and La Cenerentola and the French-language epics Moïse et Pharaon and Guillaume Tell (William Tell). A tendency for inspired, song-like melodies is evident throughout his scores, which led to the nickname "The Italian Mozart." Until his retirement in 1829, Rossini had been the most popular opera composer in history.

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประเทศที่มีหนี้สูง

เว็บไซต์ 24/7วอลล์สตรีท จัดอันดับท็อป 10ประเทศ ที่หนี้มากที่สุดในโลก โดยใช้ข้อมูลในปี 2554ส่วนใหญ่ โดยหลายประเทศมีหนี้สูงมากเมื่อเทียบกับจีดีพี ดังนี้

อันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหนี้ คิดเป็นร้อยละของจีดีพี อยู่ที่ 233.1%สูงที่สุดในหมู่ชาติพัฒนาแล้ว แม้ว่าปริมาณหนี้จะมากแต่ญี่ปุ่นสามารถบริหารจัดการให้รอดพ้นจากหายนะทางเศรษฐกิจ ไม่ซ้ำรอยกรีซและโปรตุเกส เนื่องจากมีอัตราว่างงานในระดับต่ำเพียง 4.6%และเจ้าหนี้พันธบัตรรัฐบาล 95%เป็นชาวญี่ปุ่นเอง ไม่ใช่ต่างชาติขณะที่หนี้ภาครัฐอยู่ที่ 13.7ล้านล้านดอลลาร์ ตัวเลขจีดีพีต่อคนต่อปี อยู่ที่ 33.994ดอลลาร์ ส่วนมูลค่าจีดีพี (nominal GDP) อยู่ที่ 5.88ล้านล้านดอลลาร์

อันดับ 2 ประเทศกรีซ ที่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ล่าสุดเอเธนส์ มีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 168.2%เพิ่มจากเมื่อปี 2553ที่อยู่ที่ระดับ 143%หนี้ของรัฐบาลเอเธนส์อยู่ที่ 4.89แสนล้านดอลลาร์ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 28,154ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 3.03แสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงานสูงถึง 19.2%

อันดับ 3 ประเทศอิตาลี มีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 120.5%โดยปัญหาหนี้ มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของอิตาลี ซึ่งจีดีพีเติบโตเพียง 1.3%ในปี 2553จนอิตาลีต้องประกาศมาตรการรัดเข็มขัดเมื่อปลายปีที่แล้วหนี้ของรัฐบาลอิตาลีอยู่ที่ 2.54ล้านล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 31,555ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.2ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงานที่ 8.9%

อันดับ 4 ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเคยมีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในอียู มีอัตราเติบโตของจีดีพีเฉลี่ย 10%และมีอัตราว่างงานต่ำสุดในหมู่ชาติอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจไอร์แลนด์ก็เริ่มหดตัว จนถึงปี 2553ไอร์แลนด์ขาดดุลงบประมาณ 32.4%ของจีดีพี และยอดหนี้พุ่งกว่า 500%นับตั้งแต่ปี 2544ล่าสุด ไอร์แลนด์ มีสัดส่วนหนี้ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 108.1%มีหนี้ภาครัฐ 2.25แสนล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปี 39,727ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.17แสนล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงาน 14.5%

อับดับ 5 ประเทศโปรตุเกส ซึ่งได้รับแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างหนักหน่วง เมื่อปี 2554โปรตุเกสขอรับเงินช่วยเหลือจากอียูและไอเอ็มเอฟไปแล้ว 1.04แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณและหนี้ที่เพิ่มขึ้นมากปัจจุบัน โปรตุเกส มีสัดส่วนหนี้ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 101.6%มีหนี้ภาครัฐ 2.57แสนล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 25,575ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 2.39แสนล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงานอยู่ที่ 13.6%

อันดับ 6 ประเทศเบลเยี่ยม ล่าสุดมีสัดส่วนหนี้ ที่คิดเป็นร้อยละของจีดีพี 97.2%ทั้งนี้ ไอร์แลนด์เคยมีอัตราหนี้ต่อจีดีพีสูงถึง 135%เมื่อปี 2536และค่อยๆ ลดเหลือ 84%ในปี 2550แต่ภายใน 4ปีต่อมาก็กลับเพิ่มเป็น 95%เบลเยี่ยมมีหนี้ภาครัฐ 4.79แสนล้านดอลลาร์ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 37,448ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 5.14แสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 7.2%

อันดับ 7 ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะนี้มีสัดส่วนหนี้ 85.5%ของจีดีพี จากเมื่อปี 2544ที่อยู่ที่ 45.6%เนื่องจากทางการวอชิงตันใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2544อเมริกามีค่าใช้จ่าย 33.1%ของจีดีพี กระทั่งถึงปี 2553รายจ่ายเพิ่มเป็น 39.1%ของจีดีพีส่วนหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ นับถึงปี 2554อยู่ที่ 12.8ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 6.4ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2548ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 47,184ดอลลาร์ มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 15.13ล้านล้านดอลลาร์ และอัตราว่างงานอยู่ที่ 8.3%

อันดับ 8 ประเทศฝรั่งเศส เขตเศรษฐกิจอันดับ 3ของอียู ที่มีสัดส่วนหนี้คิดเป็นร้อยละของจีดีพีอยู่ที่ 85.4%มีหนี้ภาครัฐอยู่ที่ 2.26ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 2.76ล้านล้านดอลลาร์ สูสีกับอังกฤษ ส่วนจีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 33,820ดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 9.9%

อันดับ 9 ประเทศเยอรมนี เขตเศรษฐกิจใหญ่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในอียู เยอรมันมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้แก่ยูโรโซนทั้งหมด รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือแก่กรีซในปี 2553แต่แม้จะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เยอรมันมีสัดส่วนหนี้ 81.8%ของจีดีพี สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศพัฒนาแล้ว เยอรมนี มีหนี้ภาครัฐ 2.79ล้านล้านดอลลาร์ มีจีดีพีต่อคนต่อปี 37,591ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 3.56ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 5.5%ถือเป็นระดับต่ำสุดในยุโรป

อันดับ 10 ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีสัดส่วนหนี้ 80.9%ของจีดีพี แม้จะค่อนข้างสูง แต่เศรษฐกิจอังกฤษยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับอังกฤษไม่ได้อยู่ในยูโรโซนที่ใช้เงินสกุลเดียวกัน ทำให้รัฐบาลและแบงก์ชาติมีอิสระที่จะดำเนินการใดๆ มากกว่าสำหรับหนี้ของรัฐบาลอังกฤษอยู่ที่ 1.99ล้านล้านดอลลาร์ จีดีพีต่อคนต่อปีอยู่ที่ 35,860ดอลลาร์ มีมูลค่าจีดีพี 2.46ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราว่างงาน 8.4%

Dragon Dog

“Dragon Dog” ฮอทดอกที่แพงที่สุดในโลก

คนรวยชาวแคนนาดาเขามีวิธีต้อนรับปีมังกรแบบแปลกๆ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2012 ที่ผ่านมา ดอกี้ด็อก ฮอตดอกส์ (DougieDog Hot Dogs) ร้านฮอตด็อกชื่อดังในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ทำฮอตดอกที่เรียกได้ว่า แพงที่สุดในโลก เพื่อฉลองปีมังกร ด้วยเมนู Dragon Dog

ซึ่งเจ้า Dragon Dog นี้ ทำมากจากไส้กรอกยาว 1 ฟุต ที่แช่ในคอนยัคสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ราคาขวดละประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท นอกจากนั้นยังมีกุ้งล็อปเตอร์สดและเนื้อโกเบนำมาคลุกเคล้าด้วยน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลและน้ำมันมะกอก ราดด้วยซอส Picante ที่เป็นสูตรลับของร้าน

ใครที่อยากทานเมนู Dragon Dog นี้ ต้องโทรศัทพ์มาสั่งจองล่วงหน้าถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 3,098 บาท!!! ทำลายสถิติเก่าของร้าน Serendipity ที่นิวยอร์ค ที่มีราคา 69 เหรียญสหรัฐไปเลย

อากาศยานเชียงใหม่

อากาศยานเชียงใหม่ติดอันดับ 4 สนามบินบริการดีที่สุดในโลก จากสนามบินทั่วโลกที่เข้าร่วม 34 แห่ง ทอท.ตั้งเป้าปี 57 จะต้องคว้าอันดับ 1 มาครอง

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ว่าที่เรืออากาศโท อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน ) หรือ ทอท. ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหาร ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2552 ทอท.ได้ส่ง ทชม.เข้าร่วมโครงการจัดอันดับท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการให้บริการดีที่สุดของโลก (Airport Service Quality Program :ASQ) จัดโดย Airports Council International (ACI) ซึ่ง ทชม.เข้าร่วมโครงการดังกล่าวในกลุ่มท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 5 ล้านคนต่อปี และ ทอท.ได้ตั้งเป้าหมายให้ ทชม.ติดอันดับ 12 ในปี 2554 และติดอันดับ 1 ใน 5 ภายในปี 2557 นั้น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 ACI ได้ประกาศผลการจัดอันดับท่าอากาศยานประจำปี 2554 อย่างเป็นทางการ ซึ่ง ทชม. ได้รับอันดับที่ 4 จากท่าอากาศยานที่เข้าร่วมทั้งหมด 34 แห่ง ที่มีผู้โดยสารไม่เกิน 5 ล้านคนต่อปี

ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ กล่าวต่อว่า การที่ ทอท.พิจารณาส่ง ทชม. เข้าประกวดในเวทีโลกดังกล่าว เนื่องจาก ทชม.มีความพร้อมทั้งด้าน อาคารสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการ ความปลอดภัยและบุคลากร ซึ่งการเข้าร่วมโครงการ ASQ นั้น ทาง ACI ผู้จัด ได้ให้ผู้โดยสารและผู้ที่เกี่ยวข้องในท่าอากาศยานทั้งชาวต่างชาติและคนไทยตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีตัวชี้วัด 33 ตัวชี้วัด เช่น ความสะอาด บรรยากาศของท่าอากาศยาน ความสุภาพของพนักงาน และความปลอดภัย เป็นต้น ดังนั้นจากการที่ ทชม.ได้รับการจัดอันดับที่ 4 ของโลกในปี 2554 จึงแสดงให้เห็นว่า ทชม.มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีการบริการที่ประทับใจต่อผู้ที่มาใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ทอท.ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการของ ทชม.อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้รับความพึงพอใจสูงสุดสมกับ สโลแกน ปลอดภัยคือมาตรฐาน บริการคือหัวใจรวมทั้งตั้งเป้าหมายให้ ทชม.ติดอันดับที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งจะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ

ชายที่ตัวเล็กที่สุดในโลก

คุณปู่ จันทรา บาฮาเดอร์ ดังกี วัย72ปี เตรียมเดินทางไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล สถานที่ที่จะมีการวัด และบันทึกชื่อลงในกินเนสส์ บุ้คอย่างเป็นทางการ ในวันพรุ่งนี้(27ก.พ.)โดยจะทำลายสถิติ ของนายจันเรย์ บาลาวิง ชาวเมืองซัมบวนกา เดล นอร์เต จ.ซินดานกัน ประเทศฟิลิปปินส์ วัย 18 ปี ที่บันทึกสถิติไว้ที่ 23.5 นิ้ว คุณปู่ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ชื่อของเขากำลังจะถูกบันทึกเป็นชายที่ตัวเล็กที่สุดในโลก และเป็นคนที่มีชื่อเสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าการรักษาหรือว่าให้หมอตรวจดูความผิดปกติ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจ็บป่วยแต่อย่างใด ดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป แต่คุณปู่ ดังกี ก็มีความฝันอยู่อย่างหนึ่งคือ การได้เที่ยวพบปะผู้คนทั่วโลก ซึ่งจากนี้ไป คุณปู่ จะกลายเป็นคนที่คนทั่วโลกรู้จักอย่างแน่นอน ในฐานะ ชายที่ตัวเล็กที่สุดในโลก

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สาวหุ่นดี

ว่ากันว่า สาวหุ่นดีนั้น ต้องมีหุ่นสมส่วนได้รูปเหมือนนาฬิกาทราย นั่นก็คือ ต้องมีทรวดทรง อก เอว และสะโพก อย่างเห็นได้ชัด แต่หญิงสาวที่เราจะนำมานำเสนอให้ชมกันในวันนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะมีหุ่นสวยเพรียวเหมือนนาฬิกาทรายไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีสาว ๆ คนไหนอยากหุ่นเหมือนเธอเป็นแน่แท้ เพราะเธอมีรอบเอวเพียงแค่ 20 นิ้ว เท่านั้น

หนังสือพิมพ์เดอะ ซัน รายงานว่า สาวคนนี้มีชื่อว่า ไอโออานา สแปนเจนเบิร์กเป็นนางแบบวัย 30 ปี ของโรมาเนีย มีหุ่นนาฬิกาทราย วัดรอบเอวได้เพียง 20 นิ้ว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเอวที่เล็กที่สุดในโลก โดยสาว ไอโออานา เปิดเผยว่า ที่เธอมีเอวเล็กขนาดนี้ เธอไม่ได้มีความผิดปกติในการกินอย่างใด เพราะเธอยืนยันว่า เธอกินอาหารมื้อใหญ่ครบ 3 มื้อในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะอาหารที่เธอชื่นชอบนั่นก็คือ มันฝรั่งทอดกรอบ พิซซ่า และเคบับ แถมด้วยของว่างที่เป็นศัตรูของความอ้วนนั่นก็คือ ช็อกโกแลตวันละหลาย ๆ ชิ้นอีกด้วย

Happy Valentine Day

Saint Valentine's Day, often simply Valentine's Day, is a holiday observed on February 14 honoring one or more early Christian martyrs named Valentinus. It was first established by Pope Gelasius I in 496 AD, and was later deleted from the General Roman Calendar of saints in 1969 by Pope Paul VI. It is celebrated in countries around the world, mostly in the West, although it remains a working day in all of them.

The day first became associated with romantic love in the circle of Geoffrey Chaucer in the High Middle Ages, when the tradition of courtly love flourished. By the 15th century, it had evolved into an occasion in which lovers expressed their love for each other by presenting flowers, offering confectionery, and sending greeting cards (known as "valentines").

Modern Valentine's Day symbols include the heart-shaped outline, doves, and the figure of the winged Cupid. Since the 19th century, handwritten valentines have given way to mass-produced greeting cards.

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

3D มีผลกระทบต่อดวงตารึไหม


เด็กเกินไปที่จะดูภาพ 3D



หลังจากที่ซีอีโอของนินเทนโดอเมริกาออกมาบอกผ่านสื่อว่า เด็กที่มีอายุไม่ถึง 7 ขวบไม่ควรมองดูภาพสามมิติเพราะว่ากล้ามเนื้อสายตาของเด็กอายุเท่านั้นยังไม่แข็งแรงพอ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ Dr. Neil A Dodgson ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคจากมหาวิทยาลัยเคมบริจต์ ที่ออกมาแนะนำว่า"เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ควรจะปิดฟังชั่นภาพแบบ 3D ในการเล่น Nintendo 3DS""ความจริงผมก็บอกไม่ได้ 100% ว่ามันจะมีผลกระทบต่อสายตาของเด็กๆมากแค่ไหน แต่จากที่ผมศึกษาเรื่อง Stereoscopic ภาพกราฟฟิคแบบสามมิติ ภาพพวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้ภาพสองภาพที่เหมือนกัน จากนั้นการมองก็จะต้องมองโดยรวมจุดศูนย์กลางของทั้งสองภาพให้เข้าหากันตรงกลางจนกระทั่งมันรวมเป็นภาพเดียวกัน และปรากฏเป็นภาพสามมิติขึ้นมา ซึ่งการมองแบบนี้จำเป็นต้องมีการฝึกฝนและค่อนข้างต้องใช้การเกร็งกล้ามเนื้อสายตาอย่างมาก แต่ก็บอกยากเหมือนกันนะครับ ว่ามันจะมีผลกระทบต่อเด็กอายุกี่ปี"


ณ ตอนนี้ ปัญหาเรื่องภาพสามมิติบน Nintendo 3DS ที่อาจจะมีผลต่อสายตาของเด็กนั้น ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนัก เพราะยังไม่เคยมีการทดลองอย่างจริงจังกันในเรื่องนี้ ที่สำคัญตัวเครื่องเล่นเกมเองก็ยังไม่ได้ออกวางขาย จึงยังไม่เกิดกรณีที่มีปัญหาจากการเล่นเกิดขึ้นจนเป็นข่าวให้ได้รู้กัน ทว่าทางนินเทนโดเองก็พยายามออกมาอธิบายในเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้ที่จะเล่น Nintendo 3DS เกิดความสบายใจมากที่สุด


"หากมีกรณีที่เด็กเล่น 3DS แล้วเกิดปัญหากับดวงตาไม่ว่าอะไรก็ตาม เราเชื่อว่ามันน่าจะเกิดจากการที่เด็กใช้เวลาเล่นเกมนานเกินไปสำหรับวัยของพวกเขามากกว่า"เช่นเดียวกับ Masahiro Sakurai ผู้สร้างเกม Kid Icarus:Uprisingที่กล่าวว่า "เขาจะสร้างเกมโดยนึกถึงผลกระทบต่อสายตาของผู้เล่นเป็นอันดับแรก และมันจะไม่เกิดขึ้นกับ Kid Icarus อย่างแน่นอน"


วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

Grapefruit




A relative newcomer to the citrus clan, the grapefruit was originally believed to be a spontaneous sport of the pummelo (q.v.). James MacFayden, in his Flora of Jamaica, in 1837, separated the grapefruit from the pummelo, giving it the botanical name, Citrus paradisi Macf. About 1948, citrus specialists began to suggest that the grapefruit was not a sport of the pummelo but an accidental hybrid between the pummelo and the orange. The botanical name has been altered to reflect this view, and it is now generally accepted as Citrus X paradisi.


When this new fruit was adopted into cultivation and the name grapefruit came into general circulation, American horticulturists viewed that title as so inappropriate that they endeavored to have it dropped in favor of "pomelo". However, it was difficult to avoid confusion with the pummelo, and the name grapefruit prevailed, and is in international use except in Spanish-speaking areas where the fruit is called toronja. In 1962, Florida Citrus Mutual proposed changing the name to something more appealing to consumers in order to stimulate greater sales. There were so many protests from the public against a name change that the idea was abandoned.

วันเด็กแห่งชาติ




ประวัติความเป็นมา



วันเด็กแห่งชาติ มีต้นกำเนิดมาจากการที่องค์การสหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ โดยในปี พ.ศ. 2498 นายวี เอ็ม กุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ ได้เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ และความต้องการของเด็ก รวมถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ


ทั้งนี้ การขานรับกับการจัดงานวันเด็กแห่งชาติได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง ในปีเดียวกันนั้นเองทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ


สำหรับประเทศไทย ได้ตอบรับข้อเสนอของนายวี เอ็ม กุลกานี ซึ่งบอกผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


อย่างไรก็ตาม งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498 จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทย เป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็ก ๆ ไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้


ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 ว่า ควรจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมา ส่งผลให้ในปี 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน


วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคอ่านหนังสือยังไง...ไม่ให้ง่วง




เทคนิคอ่านหนังสือยังไง...ไม่ให้ง่วง


1. บรรยากาศรอบตัว ใครว่าบรรยากาศรอบๆตัวไม่มีผล(ขอเถี่ยง) จริงๆจากการศึกษาเขาว่ากันว่าบรรยากาศมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เช่น บางคนชอบอ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือแสงไฟสลัวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว การอ่านหนังสือในที่มีแสงไม่เพียงพอจะทำให้สายตาเราทำงานหนักขึ้นและเมื่อยล้าได้ง่าย ทำให้เมื่ออ่านไปได้สักระยะเราก็จะง่วง ดังนั้นน้องๆควรหาที่อ่านหนังสือที่มีแสงสว่างเพียงพอ


2. สถานที่ในการอ่านหนังสือ ใครว่าสถานที่ไม่สำคัญ น้องๆสังเกตบ้างหรือเปล่า ทำไมเราอ่านหนังสือในสวนหรือนอกบ้านเราจะไม่ค่อยรู้สึกง่วงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่อ่านหนังสือบนเตียงเป็นอันต้องหลับทุกที ก็บรรยากาศเป็นใจอ่ะเนอะ อิอิ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการอ่านบนเตียงนอนโดยเด็ดขาด ถ้าไม่อยากสอบตก


3. การพักผ่อน น้องๆหลายคนติดนิสัยนอนดึกนอนดื่นซะจนชิน (เนื่องจากติดละครหรืออะไรก็แล้วแต่) รู้ไหมการนอนดึกมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เพราะถ้าตอนกลางคืนเรานอนไม่เพียงพอในช่วงกลางวันร่างกายต้องการการผักผ่อนจึงส่งผลให้น้องๆหลายคนเกิดอาการง่วง รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนอนหลับผักผ่อนแต่หัวค่ำนะ


4. เบื่อ ความเบื่อนำมาซึ่งความง่วง ถ้าไม่อยากเบื่อ อยากง่วงลองแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือดู วันละกี่นาที กี่ชั่วโมงก็ว่ากันไป อย่าอ่านวิชาใดวิชาหนึ่งนานๆ เพราะอาจนำมาซึ่งความเซ็ง -*- ถ้าเรารู้จักแบ่งเวลาคิดว่าน่าจะตัดความเบื่อลงไปได้บ้าง


ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก




ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก


น้ำมันมะกอกนอกจากจะเป็นน้ำมันพืชชั้นดี ที่นำมาปรุงอาหารฝรั่งได้อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายทีเดียวน้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้น้ำมันมะกอกไม่เหม็นหืน โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนเหมือนน้ำมันพืชบางชนิด นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยันว่า น้ำมันมะกอกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงอีกด้วยค่ะ และล่าสุด ดร.ไมเคิล สโตนแฮมและคณะ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ได้ทำการประเมินผลของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และหาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและน้ำมันมะกอกต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยทำการรวบรวมข้อมูลจากประเทศต่างๆมากถึง 28 ประเทศใน 4 ทวีป พบว่าผู้ที่รับประทานผักรวมทั้งน้ำมันมะกอกเป็นประจำ มีอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำอย่างชัดเจนค่ะ จึงเป็นข่าวดีของผู้ที่ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอกอีกชิ้นหนึ่งค่ะ นั่นคือน้ำมันมะกอกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วยค่ะ


มีข้อดีอย่างนี้ ลองนำน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารกันบ้าง ก็น่าจะดีเหมือนกันนะคะ แต่การเลือกซื้อน้ำมันมะกอกสักขวด ควรจะไปทำความรู้จักชนิดของน้ำมันมะกอกกันก่อนจะดีกว่าค่ะ


Extra Virgin Oil เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ จากการบีบจากลูกมะกอก น้ำมันมะกอกชนิดนี้ จะมีสีเขียวเข้มใส นิยมนำมาใช้ในการทำ สลัด น้ำจิ้ม หรือเครื่องปรุงรสอื่น ๆ


Refined Olive เป็นน้ำมันมะกอกที่ผ่านการกลั่น ราคาจะถูกกว่าชนิดแรก และมีสีเขียวใสกว่า.


Olive Oil เป็นน้ำมันมะกอกที่ให้สีอ่อนกว่าสองชนิดแรก เป็นการ


ผสมระหว่างน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านการกลั่น เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการปรุงอาหารที่ไม่ต้องการกลิ่นที่รุนแรงหรือสำหรับคนที่เพิ่งลองใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารค่ะและที่สำคัญราคาก็ถูกกว่าด้วย



จะใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารได้อย่างไร



1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด หรือน้ำจิ้ม



2. นำมาใช้ในการผัด ชนิดที่ใช้น้ำมันน้อย เช่นผัดผักเร็ว ๆ ผัดกระเพรา มักกะโรนี สปาเก็ตตี หรือ พาสต้า



3. นำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปอบจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น



4. ใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด จะช่วยให้อาหารไม่อมน้ำมันเนื่องจากน้ำมันมะกอกจะให้ความร้อนสูง ทำให้อาหารสุกทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วยค่ะ