ทะเลทราย Sahara เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร พอๆ กับสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ ทะเลทราย Sahara มีความแห้งแล้งมาก มีฝนตกไม่เกินปีละ 25 เซนติเมตร ฝนจะตกไม่สม่ำเสมอ แต่จะตกอย่างรุนแรงและหยุดเร็ว ทำให้พื้นไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ แต่เชื่อมั้ยครับว่าเมื่อ 8,000 ถึง 10,000 ก่อน บริเวณที่แห้งแล้งที่สุดของทะเลทราย Sahara แถบประเทศ Niger กลับเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ เป็นที่เกิดของอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึง 2 ครั้ง
Paul Sereno จากมหาวิทยาลัย Chicago นำทีมนักสำรวจเข้าไปในทะเลทรายซาฮารา ส่วนที่อยู่ในประเทศ Niger ณ จุดที่แห้งแล้งไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่ เพื่อค้นหาร่องรอยของไดโนเสาร์ แต่แทนที่จะได้พบซากไดโนเสาร์ กลับพบสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพบในใจกลางทะเลทราย Sahara นั่นก็คือการขุดพบหลุมศพของมนุษย์ประมาณ 200 ศพ นอกจากโครงกระดูกมนุษย์แล้ว ยังพบกระดูกของสัตว์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงปลาและจระเข้อีกด้วยหลุมศพที่พบเหล่านี้อยู่ใกล้บริเวณที่คาดว่าเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน จากการศึกษาด้วยวิธี radiocarbon ทำให้ทราบว่า เป็นโครงกระดูกของมนุษย์ใน 2 ยุคปะปนกัน บริเวณนี้ เคยเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ทิ้งช่วงกันประมาณ 1 พันปี โดยระหว่าง 1 พันปีนี้มีความแห้งแล้งเกิดขึ้น ก่อนที่ความอุดมสมบุณณ์จะกลับมาอีกครั้ง อารยธรรมแรกมีชื่อเรียกว่า Kiffian เกิดขึ้นเมื่อ 8 พันถึง 1 หมื่นปีที่แล้ว โดยมนุษย์ในยุคนี้อาศัยการล่าสัตว์ โดยอาศัยหอก มนุษย์ Kiffian มีรูปร่างสูงใหญ่ มีความสูงถึง 6 ฟุต จากการสังเกตุกระดูกช่วงขา ที่ใหญ่และแข็งแรง ทำให้ทราบว่ามนุษย์ Kiffian มีชีวิตที่ค่อนข้าง Active และทานเนื้อสัตว์เป็นหลัก และมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีความสูงถึง 6 ฟุตอารยธรรมที่สอง เกิดหลังจากอารยธรรม Kiffian ประมาณ1 พันปี คือประมาณ 7พัน ถึง 4.5 พันปีก่อน (เกิดก่อนอารยธรรมอียิปต์บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ประมาณ 1 พันปี) เรียกว่าวัฒนธรรม Tenerian มนุษย์ชาว Tenerian จะมีความเป็นอยู่ที่พัฒนาขึ้น มีการจับปลาและล่าสัตว์ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น และมีการเลียงสัตว์ประเภทวัว แต่ชาว Tenerian จะมีรูปร่างที่เล็กกว่าชาว Kiffianกระดูกของสัตว์ที่พบได้แก่ช้าง ยีราฟ และสัตว์ป่าที่พบกันทั่วๆ ไปในเคนยาทุกวันนี้ ส่วนโครงกระดูกมนุษย์ที่พบมักจะถูกฝังไว้รวมกับอัญมณี หรือรูปเคารพ รวมทั้งดอกไม้ มีการค้นพบโครงกระดูกสตรีและเด็กถูกฝังด้วยกันโดยรองรับร่างของทั้งคู่ด้วยดอกไม้จำนวนมาก และโครงกระดูกมนุษย์เพศชายที่ใส่ไว้ในเรือที่สร้างจากดินเลน
Paul Sereno จากมหาวิทยาลัย Chicago นำทีมนักสำรวจเข้าไปในทะเลทรายซาฮารา ส่วนที่อยู่ในประเทศ Niger ณ จุดที่แห้งแล้งไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่ เพื่อค้นหาร่องรอยของไดโนเสาร์ แต่แทนที่จะได้พบซากไดโนเสาร์ กลับพบสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพบในใจกลางทะเลทราย Sahara นั่นก็คือการขุดพบหลุมศพของมนุษย์ประมาณ 200 ศพ นอกจากโครงกระดูกมนุษย์แล้ว ยังพบกระดูกของสัตว์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงปลาและจระเข้อีกด้วยหลุมศพที่พบเหล่านี้อยู่ใกล้บริเวณที่คาดว่าเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน จากการศึกษาด้วยวิธี radiocarbon ทำให้ทราบว่า เป็นโครงกระดูกของมนุษย์ใน 2 ยุคปะปนกัน บริเวณนี้ เคยเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ทิ้งช่วงกันประมาณ 1 พันปี โดยระหว่าง 1 พันปีนี้มีความแห้งแล้งเกิดขึ้น ก่อนที่ความอุดมสมบุณณ์จะกลับมาอีกครั้ง อารยธรรมแรกมีชื่อเรียกว่า Kiffian เกิดขึ้นเมื่อ 8 พันถึง 1 หมื่นปีที่แล้ว โดยมนุษย์ในยุคนี้อาศัยการล่าสัตว์ โดยอาศัยหอก มนุษย์ Kiffian มีรูปร่างสูงใหญ่ มีความสูงถึง 6 ฟุต จากการสังเกตุกระดูกช่วงขา ที่ใหญ่และแข็งแรง ทำให้ทราบว่ามนุษย์ Kiffian มีชีวิตที่ค่อนข้าง Active และทานเนื้อสัตว์เป็นหลัก และมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีความสูงถึง 6 ฟุตอารยธรรมที่สอง เกิดหลังจากอารยธรรม Kiffian ประมาณ1 พันปี คือประมาณ 7พัน ถึง 4.5 พันปีก่อน (เกิดก่อนอารยธรรมอียิปต์บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ประมาณ 1 พันปี) เรียกว่าวัฒนธรรม Tenerian มนุษย์ชาว Tenerian จะมีความเป็นอยู่ที่พัฒนาขึ้น มีการจับปลาและล่าสัตว์ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น และมีการเลียงสัตว์ประเภทวัว แต่ชาว Tenerian จะมีรูปร่างที่เล็กกว่าชาว Kiffianกระดูกของสัตว์ที่พบได้แก่ช้าง ยีราฟ และสัตว์ป่าที่พบกันทั่วๆ ไปในเคนยาทุกวันนี้ ส่วนโครงกระดูกมนุษย์ที่พบมักจะถูกฝังไว้รวมกับอัญมณี หรือรูปเคารพ รวมทั้งดอกไม้ มีการค้นพบโครงกระดูกสตรีและเด็กถูกฝังด้วยกันโดยรองรับร่างของทั้งคู่ด้วยดอกไม้จำนวนมาก และโครงกระดูกมนุษย์เพศชายที่ใส่ไว้ในเรือที่สร้างจากดินเลน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น